กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--ตลท.
งานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 9 MONEY EXPO 2009 ทำสถิติใหม่ ยอดธุรกรรมทะลุ 1.3 แสนล้านบาท ผู้เข้าชมงาน 7 แสนคน แห่กู้ซื้อบ้านอันดับหนึ่ง 9.2 หมื่นล้านบาท สินเชื่อ SMEs ครองที่สองยอดพุ่ง 3 หมื่นล้านบาท สินเชื่อบุคคลอันดับสาม 2 พันล้าน เงินฝากสูงอันดับสี่ 1.9 พันล้านบาท ยอดซื้อกองทุนรวมอันดับห้าทะลุ 800 ล้านบาท
นายสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน เปิดเผยว่า งานมหกรรมการเงินครั้งที่ 9 MONEY EXPO 2009 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม 2552 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงานอย่างคับคั่งสวนทางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยมีผู้เข้าชมงานหนาแน่นตลอดทั้ง 4 วันร่วม 7 แสนคน ธุรกรรมภายในงานมูลค่ารวม 130,328.66 ล้านบาท จากผู้สมัครใช้บริการจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมงานทั้งธนาคาร, บริษัทการเงิน, บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุน และบริษัทประกันชีวิต/ประกันภัยรวม 108,677 ราย
บริการทางการเงินที่ผู้เข้าชมงานสมัครใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ สินเชื่อบ้านรวมมูลค่า 92,203.17 ล้านบาท คิดเป็น 70.75 % ของปริมาณธุรกรรมรวม เนื่องจากธนาคารและสถาบันการเงินได้ใช้กลยุทธ์ชูดอกเบี้ย 0 % กันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะการออกแคมเปญสินเชื่อบ้าน 0% ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 9 เดือน รวมทั้งนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้ารายย่อยที่ผ่อนชำระเกิน 3 ปีแล้ว ให้สามารถรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านโดยไม่ต้องเสียค่าปรับ
“ประชาชนส่วนใหญ่ยังสนใจที่จะวางแผนการซื้อบ้าน ขอสินเชื่อบ้านกันอย่างคึกคัก แม้ว่าในช่วงสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ อาทิ มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่ในปี 2552 ซึ่งจะได้รับสิทธิการนำเงินต้นที่ซื้อบ้านไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมิน ได้ 3 แสนบาท และผู้กู้ซื้อบ้านสามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงในปีแรกสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท และมาตรการขยายระยะเวลา ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และจำนอง เหลือ 0.01 % และภาษีธุรกิจเฉพาะ” นายสันติกล่าว
ส่วนธุรกรรมที่ผู้สมัครใช้บริการมากเป็นอันดับสองคือ สินเชื่อ SMEs มูลค่า 30,520.35 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 23% ขณะที่อันดับสามได้แก่ สินเชื่อบุคคลมูลค่า 2,095.95 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการกู้ยืมเพื่อชำระค่าเล่าเรียน
ผู้เข้าชมงานยังให้ความสนใจต่อการหาผลตอบแทนจากการออมและการลงทุนอีกด้วยเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์แข่งขันกันนำเสนอโปรโมชั่นเงินฝากพิเศษที่ให้ดอกเบี้ยสูงสุด 4% ต่อปี ส่งผลให้ธุรกรรมเงินฝากมีมูลค่าสูงเป็นอันดับสี่ รวม 1,957.69 ล้านบาท ขณะที่การซื้อกองทุนรวมมีปริมาณสูงเป็นอันดับห้ามูลค่ารวม 812 ล้านบาท เช่นเดียวกับการซื้อสลากออมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวม 531.31 ล้านบาทสูงเป็นอันดับหก เพราะนอกจากผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนดอกเบี้ยแล้ว ยังมีสิทธิลุ้นรางวัลตลอดระยะเวลาการถือครอง
นอกจากนี้สินเชื่อเช่าซื้อก็ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเช่นกัน มีมูลค่ารวม 509.11 ล้านบาท ส่วนยอดสมัครใช้บริการบัตรเครดิตมีมูลค่า 349.09 ล้านบาท สำหรับการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตทั้งจากบริษัทประกันชีวิตและแบงก์แอสชัวรันส์ในปีนี้มียอดซื้อกรมธรรม์ 1,964 ราย รวมมูลค่า 327.92 ล้านบาท
ในปีนี้ผู้เข้าชมงานยังได้เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ซื้อขายตราสารอนุพันธ์ และตราสารหนี้รวม 7,894 ราย รวมทั้งยังได้เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ โกลด์ฟิวเจอร์ส รวมทั้งซื้อทองคำแท่งภายในงานมูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท
ทางด้านการสัมมนาและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเงินและการลงทุนตลอด 4 วันนั้น ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและประชาชนอย่างหนาแน่น นอกจากนี้ยังสนใจขอคำปรึกษาข้อมูลทางด้านการเงินการลงทุน
“ปีนี้ยอดธุรกรรมสูงมากเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มองเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความต้องการสินเชื่ออีกมาก จึงได้แข่งขันกับนำเสนอแคมเปญสินเชื่อและโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ เพื่อดึงดูดให้มาใช้บริการอย่างเต็มที่ อีกทั้งประชาชนรู้ว่าจะสามารถใช้บริการเงื่อนไขพิเศษครั้งเดียวในรอบปี และมีเฉพาะงาน Money Expo เท่านั้น”
ปริมาณธุรกรรมภายในงานตอกย้ำคำกล่าวของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในพิธีเปิดงาน Money Expo 2009 ที่กล่าวว่า “ผมเชื่อว่างานนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและอำนวยให้การทำงานทางด้านกลไกทางการเงินและเศรษฐกิจยังเดินไป แม้ขณะนี้เราจะประสบกับปัญหาต่างๆ รอบด้านก็ตาม การจัดงานในวันนี้ คงจะเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความเข้มแข็งของสังคมไทย และพี่น้องประชาชนคนไทย ผมจึงยินดีที่งานมหกรรมการเงินประจำปี 2552 นี้ จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน มาพบกันในลักษณะที่ครบวงจร และมีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป”