ไทยออยล์ประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1 ของปี 2552 มีกำไรสุทธิ 2,283 ล้านบาท

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 12, 2009 16:15 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--บมจ.ไทยออยล์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 กำไรสุทธิที่ 2,283 ล้านบาท หรือ คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.12 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากเครือไทยออยล์มีการบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงทางธุรกิจทั้งโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานผลิตสารพาราไซลีน และโรงงานผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ทำให้บริษัทฯ สามารถปรับการผลิตจากน้ำมันไปสู่การผลิตพาราไซลีนหรือน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานได้ ตามสถานการณ์ราคาและตลาด ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผัน ผวนของวัฏจักรราคาของผลิตภัณฑ์ได้ นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ ตั้งแต่ในไตรมาส 4 /2551 บริษัทฯ ได้คาดการณ์ว่าปี 2552 ราคาน้ำมันจะอยู่ในภาวะผันผวน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด โดยในไตรมาส 1/2552 ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากในไตรมาส 3 และ 4 ของปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับลดลงอย่างมาก ทำให้โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐฯ ต้องทำการ Shutdown จึงทำให้เกิดภาวะอุปทานน้ำมันเบนซินตึงตัว ราคาจึงค่อยๆ กลับมาปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 1/2552 ขณะที่น้ำมัน Middle Distillates ได้แก่ น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันดีเซล ในไตรมาสนี้ ราคาได้ปรับตัวลดลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก ส่งผลให้การเดินทางโดยเครื่องบินและการใช้ยวดยานพาหนะชะลอตัวลง ” “ โดยที่เครือไทยออยล์มีการบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงทางธุรกิจทั้งโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานผลิตสารพาราไซลีน และโรงงานผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน จึงทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการโดยเน้นการผลิตน้ำมันเบนซินซึ่งมีราคาดี และต่อยอดนำน้ำมันเบนซินไปใช้เป็นวัตถุดิบ (feedstock) ในกระบวนการผลิตสารพาราไซลีน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากความต้องการพาราไซลีนในอุตสาหกรรมผลิตโพลีเอสเตอร์ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่อุปทานมีจำกัดจากการที่ผู้ผลิตบางรายลดกำลังการผลิตตั้งแต่ไตรมาส 4/2551 ที่มาจากปัญหาสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ราคาพาราไซลีนปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบตันทุนวัตถุดิบซึ่งอิงราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงทำให้ส่วนต่างราคา PX กับราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 377 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เปรียบเทียบกับระดับ 257 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในไตรมาส 1/2551 ” นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า “ จากการบริหารงานเป็นกลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2552 นี้ บริษัทฯ สามารถดำเนินการผลิตเต็มกำลังการผลิต และขายผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นในอัตรา 103% หรือประมาณ 284,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 8,000 บาร์เรลต่อวันจากไตรมาส 1/2551 และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (Integrated Margin) อยู่ที่ 6.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 0.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม จากการที่ระดับราคาน้ำมันในตลาดปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้รายได้จากการขายรวมของกลุ่มอยู่ที่ จำนวน 56,543 ล้านบาท ลดลง 39,771 ล้านบาทจากไตรมาส 1/2551 และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,283 ล้านบาท ลดลง 1,591 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2551 จำนวน 3,874 ล้านบาท “ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 บริษัทฯ และบริษัทในเครือมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 140,920 ล้านบาท มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 74,961 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 65,959 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ในไตรมาส 1/2552 อยู่ที่ 1.1 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.6 เท่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือคงอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ไว้ที่ AA- (Fitch Thailand) Baa1 (Moody’s) และ BBB (S&P)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ