กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) มีรายได้ 4,314 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เนื่องจากในไตรมาสนี้มีการรับรู้รายได้จากเงินลงทุนในคอฟฟี่ คลับ และ ไทยเอ็กซ์เพรส ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากรายได้ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงร้อยละ 33 ซึ่งธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกและการขาดเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศ อย่างไรก็ดี MINT สามารถรักษาระดับรายได้ไว้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ในขณะที่มีกำไรสุทธิลดลง เนื่องจากกำไรจากธุรกิจอาหารที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่สามารถชดเชยกำไรของธุรกิจโรงแรมที่ชะลอตัวลง
ในไตรมาส 1 ปี 2552 ธุรกิจอาหารภายใต้การดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป (MFG) มีรายได้ 2,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สามารถบรรเทาผลกระทบรวมในธุรกิจโรงแรมในยามที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซบเซา โดยในไตรมาสนี้มีการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (Total System Sale) ร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีจำนวนสาขาเปิดใหม่สุทธิทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 139 สาขา เมื่อเทียบกับจำนวนสาขา ณ สิ้นไตรมาส 1 ปีก่อน จากประสบความสำเร็จในการลงทุนในคอฟฟี่คลับ สัดส่วนร้อยละ 50 และลงทุนในไทยเอ็กซ์เพรส สัดส่วนร้อยละ 70 ในปีที่ผ่านมา ในอนาคต MINT ยังคงแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในการลงทุนในแบรนด์ธุรกิจอาหารที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงและมีศักยภาพในการขยายธุรกิจออกไปในตลาดภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง
ธุรกิจโรงแรมของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2552 ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้จากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ โรงแรมในเครือของบริษัทมีอัตราการเข้าพักที่ร้อยละ 58 ลดลง จากไตรมาส 1 ปีที่แล้วที่ร้อยละ 80 ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมลดลงร้อยละ 28 มาอยู่ที่ระดับ 1,348 ล้านบาท จากเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิในเดือนธันวาคมปีที่แล้วส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังไตรมาส 1 ปีนี้ และในไตรมาส 2 เกิดเหตุการณ์ไม่สงบจากกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและสันทนาการต่อเนื่องในไตรมาส 2 อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของทุกปีจะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งกำไรจากธุรกิจโรงแรมของบริษัทในช่วงนี้โดยทั่วไปมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 35 ซึ่งถ้าสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศกลับมามีเสถียรภาพในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานจะกลับมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4
แม้ว่าภาวะธุรกิจโดยรวมในไตรมาส 1 ปี 2552 จะไม่เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย แต่ในด้านการเงิน MINT ได้รับการสนับสนุนเงินกู้ระยะยาว 4 พันล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี จากสองธนาคารชั้นนำในประเทศ ในไตรมาส 2 ปี 2552 เนื่องด้วยฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งกอปรกับฐานะการเงินที่มั่นคงโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยาเข้าใจในธุรกิจของบริษัทและให้การสนับสนุนแก่บริษัทเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ลงมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งจะสามารถขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของ MINT และบริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกเหนือจากการขจัดปัญหาโครงสร้างการถือหุ้นไขว้ภายในกลุ่ม และแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าว บริษัทได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ กล่าวคือ MINT จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ MINOR โดยการแลกหุ้นสามัญในอัตราส่วน 1 หุ้นของ MINOR ต่อ 1.14 หุ้นของ MINT โดยมีระยะเวลาในการแลกหุ้นรวมทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2552 ถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2552
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ประกอบไปด้วยร้านอาหารกว่า 1,000 สาขา ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมพานี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมซึ่งประกอบด้วย 27 โรงแรม ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา แมริออทส์ โฟร์ซีซั่นส์ เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย มัลดีฟส์ เวียดนาม แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย ในปี 2552 MINT ได้รับการยอมรับจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลกโดยนิตยสารเอเชียมันนี่ และนิตยสารไฟแนนซ์ เอเซีย ว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการดีเยี่ยมในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดกลางของประเทศไทย (Best Managed Mid-Cap Company) ซึ่งพิจารณาจากผลการดำเนินงาน การดำเนินกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ตลอดจนการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ในปัจจุบันบริษัทประกอบธุรกิจโรงแรมทั้งในส่วนที่ลงทุนและรับจ้างบริหารงาน รวมทั้ง การประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ครอบคลุมกว่า 16 ประเทศ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 2 หมื่นคน สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com