กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนฐานะการเป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งลงทุนในกลุ่มธนชาต ตลอดจนอำนาจการบริหารงานในธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ผ่านการถือหุ้น 50.92% และผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอจากธนาคารธนชาต ในการให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ ระบบการบริหารความเสี่ยงที่ได้มาตรฐาน ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง รวมถึงการสนับสนุนทางด้านธุรกิจและเงินทุนจากพันธมิตร คือ Bank of Nova Scotia (BNS) นอกจากนี้ การขยายขอบเขตธุรกิจธนาคารพร้อมกับการขยายจำนวนสาขาที่มากขึ้นจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดของกลุ่มธนชาต ตลอดจนเอื้อต่อการขยายตัวทางธุรกิจที่หลากหลายและฐานะทางการเงินในอนาคต อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวยังมีข้อจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ การแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงความไม่แน่นอนของธุรกิจการธนาคาร เช่าซื้อ และหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มและโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจลดลง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายที่บริษัทจะได้รับรายได้จากเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากธนาคารธนชาตซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญ นอกจากนี้ แรงสนับสนุนทางด้านการเงินและความชำนาญในการประกอบธุรกิจจากพันธมิตรธุรกิจซึ่งได้แก่ BNS และบริษัททุนธนชาตจะช่วยส่งเสริมศักยภาพในการดำเนินงานโดยรวมให้แก่ธนาคาร ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้นในอนาคต การเติบโตในอนาคตทั้งจากการขยายธุรกิจหรือการซื้อกิจการหรือร่วมทุนระหว่างบริษัททุนธนชาตและ BNS มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้การมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่เพียงพอยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ทริสเรทติ้งรายงานว่า เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการของกลุ่มทุนธนชาตที่รวมบริษัทย่อยแล้ว ในปี 2551 บริษัททุนธนชาตมีรายได้จากธนาคารธนชาตในสัดส่วนสูงถึง 92% ของรายได้รวมของบริษัท ส่วนอีก 8% มาจากธุรกิจหลักของบริษัทและบริษัทลูกอื่นๆ รวมถึง บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็น เอฟ เอส จำกัด และบริษัท บริหารสินทรัพย์ แม๊กซ์ จำกัด เมื่อพิจารณาจากขนาดของสินทรัพย์ตามงบการเงินรวม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 บริษัทจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบทั้ง 12 แห่งของไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดด้านสินเชื่อและเงินฝาก 4.7% บริษัทได้พัฒนาคณะผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพซึ่งนำพาให้บริษัทและบริษัทลูกสามารถแข่งขันได้เป็นอย่างดีในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ ระบบบริหารความเสี่ยงของบริษัทและบริษัทในกลุ่มได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม คาดว่าการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจและการทำกำไรของธนาคารธนชาตและบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้ง 2 แห่งในระยะ 2 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ปัจุจบันธนาคารธนชาตดำเนินธุรกิจภายใต้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ในปี 2550 ธนาคารได้ซื้อบริษัทลูก 8 แห่งจากบริษัททุนธนชาตซึ่งเป็นบริษัทแม่ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มธนชาต ในเดือนกรกฎาคม 2550 บริษัททุนธนชาตได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันกับ BNS เพื่อลงทุนในธนาคารธนชาต มีผลทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารเปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารลดลงจาก 99.36% เหลือ 74.92% ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2550 และ BNS ถือหุ้น 24.98% ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 บริษัททุนธนชาตได้ขายหุ้นสามัญในธนาคารธนชาตให้แก่ BNS เพิ่มตามข้อตกลงของการถือหุ้น โดยมีการขายหุ้นจำนวน 416,526,737 หุ้นที่ราคา 18.38 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 1.6 เท่าของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น ด้วยมูลค่ารวม 7,656 ล้านบาท
บริษัททุนธนชาตบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนเท่ากับ 2,800 ล้านบาท ธุรกรรมนี้ทำให้ BNS มีสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารธนชาตเพิ่มขึ้นเป็น 48.99% ในขณะที่บริษัททุนธนชาตคงสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารธนชาต 50.92% ธนาคารธนชาตมีฐานรายได้ที่กระจายตัวทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยมีรายได้ดอกเบี้ยในสัดส่วน 66% ของรายได้รวมจากผลของการมีสถานะเป็นผู้นำทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยนั้น ธนาคารมีรายได้จากธุรกิจประกันภัยในสัดส่วนมากที่สุดซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญในปี 2550 และ 2551