กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท ดราม่า
สัญชาติ อเมริกัน
อำนวยการสร้าง มาร์โค เวเบอร์ (The Informers, Igby Goes Down)
กำกับ/เขียนบท เดนนิส ลี (Jesus Henry Christ)
นำแสดง ไรอัน เรย์โนลด์ (X-Men Origins: Wolverine, Blade: Trinity)
จูเลีย โรเบิร์ต (Erin Brockovich, My Best Friend's Wedding)
วิลเล่ม เดโฟ (Spider-Man Trilogy, Platoon)
แคร์รี่ แอน มอส (The Matrix Trilogy, Memento)
ไอออน กรัฟฟัดด์ (Fantastic Four 1 & 2)
เอมิลี่ วัตสัน (Red Dragon, Hilary and Jackie)
เฮย์เด็น พาเน็ตเทียร์ (Series: Heroes)
กำหนดฉาย 18 มิถุนายน 2552
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ครอบครัวเทย์เลอร์ได้รับการยอมรับในสังคมว่าเป็นครอบครัวตัวอย่าง ชาร์ล คืออาจารย์ที่กำลังจะได้รับเลือกเป็นคหบดีประจำมหาวิทยาลัย ลูกชายอย่าง ไมเคิล ก็เป็นนักเขียนชื่อดังที่แต่งนวนิยายโรแมนซ์ยอดนิยม ในขณะที่ลูกสาวอย่าง ไรนน์ ก็กำลังจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยกฏหมายชื่อดัง ในวันที่เราได้ทำความรู้จักกับพวกเขา ก็เป็นวันเดียวกับที่ ลิซ่า แม่ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา หลังจากที่อุทิศตนเพื่อเลี้ยงดูลูกมาตลอดสองทศวรรษ แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องเผชิญหน้ากับความจริงและความบาดหมางที่ถูกซ่อนเอาไว้
จากการเฝ้าสังเกตุและสำรวจถึงความซับซ้อนในเรื่องความสัมพันธ์และความรัก โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ถูกทดสอบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรม Fireflies in the Garden ถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ เดนนิส ลี จากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนขึ้นเอง ซึ่งเขาเคยมีผลงานหนังสั้นเรื่อง Henry Jesus Christ ที่ได้รับรางวัลมากมาย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของ ลี เอง ในเหตุการณ์ที่เขาสูญเสียแม่ไปในปี 2002 โดยเขาได้รับแรงสนับสนุนจากนักแสดงชั้นแนวหน้าของฮอลลิวู้ด ไม่ว่าจะเป็น ไรอัน เรย์โนลด์, จูเลีย โรเบิร์ต, วิลเล่ม เดโฟ, แคร์รี่ แอน มอส, เอมิลี่ วัตสัน, เฮย์เด็น พาเน็ตเทียร์ และ ไอออน กรัฟฟัดด์
จุดกำเนิด Fireflies in the Garden
ไมเคิล เทย์เลอร์ (ไรอัน เรย์โนลด์) ต้องนั่งเครื่องบินข้ามทวีปมาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ที่บ้านเกิด แม้เขาคือนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้วเขาเองก็มีปัญหาเรื่องชีวิตคู่ อีกทั้งยังมีความกังวลตลอดเวลา สืบเนื่องมาจากความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็กเกี่ยวกับพ่อจอมบงการ (วิลเล่ม เดโฟ) ซึ่งแม้แต่แฟนหนังสือแอร์โฮสเตสที่มาขอลายเซ็นเขา ก็ไม่สามารถที่จะดึงเขาออกมาจากห้วงความคิดได้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาอยากกลับไปบ้านเกิดก็คือ การได้เจอกับป้าเจน (เอมิลี่ วัตสัน) น้องสาวแม่และเพื่อนในวัยเด็กของเขา ผู้ซึ่งทำให้ชีวิตในวัยเด็กของ ไมเคิล มีความสดใสอยู่บ้าง
แต่การเดินทางกลับมาช่างต่างจากสิ่งที่ ไมเคิล คิดไว้อย่างสิ้นเชิง โดยเขาและ ไรนน์ น้องสาวต้องรับมือกับข่าวร้าย เมื่ออุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นได้คร่าชีวิต ลิซ่า (จูเลีย โรเบิร์ต) แม่ของพวกเขาไป พิธีศพถูกจัดขึ้นแทนพิธีแสดงความยินดีในการสำเร็จการศึกษาของเธอ โดยในช่วงระหว่างการไว้ทุกข์ ไมเคิล ต้องจัดการกับปัญหาค้างคาระหว่างเขาและพ่อ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตอีกมุมหนึ่งของแม่ ได้เชื่อมความสัมพันธ์กับภรรยา, น้องสาว และป้าของเขาอีกครั้ง และได้เข้าใจถึงความหมายของคำว่า “รัก “ในมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
Fireflies in the Garden ถูกเล่าผ่านมุมมองของ ไมเคิล โดยตัดสลับกับความทรงจำในอดีตที่ชัดเจน ระหว่างการเป็นที่รองรับอารมณ์ของพ่อในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะเมื่อป้าเจนมาอาศัยอยู่กับครอบครัว และเหตุการณ์ในปัจจุบันที่สมาชิกในครอบครัวต้องรับมือกับการจากไปของแม่
เดนนิส ลี ผู้กำกับ/เขียนบท ได้พูดถึงไอเดียของโปรเจ็คนี้ว่า "มันเป็นเรื่องของรากฐานครอบครัว โดยตัวแม่นั้นต้องถูกพรากออกไปจากสมาชิกที่เหลือตั้งแต่ต้นเรื่อง ผมคิดว่าครอบครัวส่วนใหญ่นั้น แม่จะเป็นเหมือนกรอบรูปที่คอยรักษาสิ่งที่อยู่ในนั้น ผมคิดว่าเมื่อกรอบรูปนั้นหายไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะร่วงหล่น คำถามก็คือครอบครัวนี้จะปล่อยให้เป็นไปตามยัตถากรรม หรือว่าจะพยายามช่วยกันประคับประคอง ซึ่งการที่จะทำเช่นนั้นได้ ความทรงจำในอดีต, อารมณ์ที่ถูกแอบซ่อน และความจริงที่ทุกคนหลีกเลี่ยงก็ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง"
ไรอัน เรย์โนลด์ นักแสดงนำก็ออกมาเสริมไอเดียของผู้กำกับว่า "ตัวละครในเรื่องนั้นอาจมีการไว้ทุกข์ตามแบบของแต่ละคน แต่พวกเขาต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่ามันจะกระอักกระอ่วนและเจ็บปวดมากเท่าใด เพราะช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นจะกว้างขึ้นตามระยะเวลาที่ห่างกัน ผมไม่คิดว่าจะมีครอบครัวไหนในโลกนี้ ที่ไม่มีความขัดแย้งหรือไร้ซึ่งความซับซ้อน นี้เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความฝันของครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ สำหรับผมมันก็เป็นเรื่องที่สำคัญในการถ่ายทอดมันออกมาให้ตรงตามความจริง"
สำหรับ เดนนิส ลี นี้คือโปรเจ็คที่เกี่ยวพันกับชีวิตส่วนตัว "แม่ของผมเสียไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์ หลังจากนั้นผมก็ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง You Can Count on Me ผมคิดว่ามันเป็นหนังที่ดีมาก โดยมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่ต้องกับมือกับโศกนาฏกรรม ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา"
ในขณะที่เรื่องราวได้อ้างอิงมาจากโศกนาฏกรรม และการดิ้นรนของครอบครัวในการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน แต่ ลี ก็บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสร้างมาจากแรงบันดาลใจเท่านั้น เพราะว่าพ่อแท้ๆของเขาไม่เหมือนกับตัวละครที่อยู่ในเรื่อง "สิ่งแรกที่ผมอยากพูดเลยก็คือ ชาร์ล ไม่ได้อ้างอิงมาจากพ่อของผม เพราะพ่อของผมเป็นคนที่มีจิตใจดี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนเงียบๆ แต่เขาก็เป็นพ่อที่สนับสนุนลูกตลอดเวลา"
โดยแต่ละคนในเรื่องก็ยังมีวิธีที่พวกเขารับมือกับความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีความซับซ้อน ซึ่งมันก็มาจากการที่ ลี เป็นคนเอาใจใส่ในรายละเอียด และจากอุปนิสัยที่ไม่สมบูรณ์แบบของคนในครอบครัว ทำให้เรื่องนี้สอดคล้องกับความคิดของทุกคนที่เข้ามาร่วมงานในโปรเจ็ค
ไรอัน เรยโนลด์ ได้พูดถึงความประทับใจของเขา ที่มีต่อตัวละครนี้ว่า "สิ่งที่ทำให้ผมสนใจก็คือ การได้รับโอกาสในเล่นเป็นคนที่มีปัญหาในการแสดงออกทางอารมณ์ นั้นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเข้าถึงได้เมื่อตัวเองต้องเสียใครบางคน สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมก็คือ คุณอาจจะไม่แสดงออกมาณ.ช่วงเวลานั้น คุณอาจรู้สึกชาไปทั้งตัว แต่ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกที่แอบซ่อนอยู่ก็จะพรั่งพรูออกมา ไม่ว่าจะผ่านไปสองอาทิตย์หรือสองปีก็ตาม อย่างเช่นที่ ไมเคิล ตัวละครของผมกลับมาบ้านและรู้สึกงุนงงสับสนตัวเองว่า ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรกับการจากไปของแม่เลย เพราะเขารักแม่ของตัวเองและคิดถึงเธออย่างที่สุด”
เอมิลี่ วัตสัน รับบทเป็นป้าเจนตอนโต ซึ่งในอดีตนั้น (รับบทโดย เฮย์เด็น) ได้มาอาศัยอยู่กับครอบครัวเทย์เลอร์ ในช่วงฤดูร้อน และได้กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวคนใหม่เมื่อพี่สาวของเธอจากไป ซึ่งสำหรับ วัตสัน แล้ว ความหลงไหลแรกเริ่มก็คือความลึกซึ้งของบทภาพยนตร์ เธอบอกว่า "ฉันไม่ได้อ่านบทภาพยนตร์ที่มีความซับซ้อนขนาดนี้มานานแล้ว มันมีความรู้สึกสมจริงและน่าค้นหามาก"
ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่าง ไมเคิล และ ชาร์ล จะกลายเป็นประเด็นหลักของเรื่อง แต่ ลี ก็ยังต้องการสร้างแรงขับเคลื่อนจากฝากผู้หญิง และมอบการดิ้นรนที่ดูเหมาะสมและยุติธรรมให้กับพวกเธอ
เดนนิส ลี ได้พูดถึงประเด็นนี้ไว้ว่า "ไม่ว่าคุณจะรับบทเป็น ลิซ่า (จูเลีย โรเบิร์ต), ไรนน์ (แชนนอน ลูซิโอ), เคลลี่ (แคร์รี่ แอน มอส) หรือ เจน (เอมิลี่ วัตสัน) ผู้หญิงทุกคนในเรื่องนี้ต่างมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั้นก็คือการค้นพบตัวเอง ผมและภรรยามีอาชีพหลักคือครู พวกเราได้นั่งถกกันเกี่ยวกับเมื่อที่ผู้หญิงเสียความเป็นตัวตน โดยเฉพาะในสังคมหรือวัฒนธรรมนี้ อย่างตอนที่ผมสอนเด็กเกรด 7 ผมสังเกตุเห็นกลุ่มเด็กหญิงกลุ่มหนึ่ง ที่ระหว่างช่วงเกรด 7 ขึ้นเกรด 8 พวกเธอก็ยังพูดแบบเดิม และยังทำอะไรที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม พวกเธอสูญเสียสิ่งพิเศษในตัวเองไป ผมว่ามันเกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไปในสังคมเรา”
เขาเล่าต่อว่า “ใน Fireflies in the Garden เราได้รู้จักกับ ลิซ่า ที่หลังจากลูกทั้งสองของเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็กลับไปเรียนจนสำเร็จการศึกษาอย่างที่ตั้งใจไว้ เช่นเดียวกับ เคลลี่ ภรรยาของไมเคิล สำหรับ เจน แล้วก็คือเหตุการณ์ที่อยู่ในช่วงหน้าร้อนนั้น สำหรับ ไรนน์ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่ ที่ทำให้เธอเริ่มถามตัวเองดังๆว่า ‘ฉันคือใคร’ หรือ ‘ฉันต้องการกับชีวิตของตัวเอง’ มากกว่าที่จะเป็นอย่าง ‘พ่อแม่ของฉันต้องการให้เป็นอะไร’ หรือ ‘พวกเขาจะคิดว่ายังไงถ้าฉันกลายเป็นคนนั้น’
ก่อนจะมาเป็น Fireflies in the Garden
ผู้อำนวยการสร้าง ซูกี้ ชิว เป็นคนที่ติดตามผลงานของ ลี มาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นนักเรียน และได้รางวัลจากหนังสั้นเรื่อง Jesus Henry Christ และเขายังเป็นคนแรกที่ถามว่า ลี มีบทภาพยนตร์ที่เขียนไว้บ้างหรือไม่ "เขาพยายามอย่างมากในการเขียนบทนี้ขึ้นมา และผมก็อยากช่วยเขาในการพัฒนามัน นี้เป็นเรื่องที่สมควรถูกเล่า”
เขาเล่าต่อว่า “ซึ่งตอนนั้น วาเนสซ่า คอร์ฟแมน ผู้อำนวยการสร้างจากสตูดิโอ Senator ก็กำลังมองหามือเขียนบทหน้าใหม่ที่มีพรสวรรค์ ฉันก็เลยส่งบทของ เดนนิส ไปให้เธอ วันรุ่งขึ้นเธอโทรกลับมาและอ้อนวอนให้เธอเป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยผู้ก่อตั้งสตูดิโออย่าง มาร์โค เวเบอร์ ก็ยังรักบทภาพยนตร์ และเสนอตัวว่าจะออกทุนสร้างให้กับหนังเรื่องนี้"
ลี พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ตัวเองยังรู้สึกแปลกใจในเสียงตอบรับและความช่วยเหลือที่ได้รับ "มันเป็นเหมือนกับเทพนิยายที่เกิดขึ้นในฮอลลิวู้ด เป็นเรื่องที่เล่าแล้วคงไม่มีใครเชื่อ ผมได้รับโทรศัพท์จากทาง Senator เพื่อไปพบกับ มาร์โค เวเบอร์ ที่บ้านของเขา พวกเราได้นั่งคุยกันและเขาก็บอกผมว่า ‘เรามาสร้างหนังเรื่องนี้กันเถอะ’ มันทำให้ผมอึ้งไปเลย เพราะผมเคยเข้าประชุมแบบนี้มาก่อนหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมยังไม่เคยได้รับคำตอบเช่นนี้เลย"
เวเบอร์ พูดถึงผู้กำกับเลือดใหม่คนนี้ว่า "ถ้า เดนนิส เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดีขนาดนี้ ก็แสดงว่าเขามีโครงเรื่องอยู่ในสมองหมดแล้ว และคุณก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะสามารถสร้างมันได้ไหม แค่เอาบุคคลากรเก่งๆไว้รอบตัวเขาและมีสตูดิโอที่คอยหนุนหลัง ซึ่งหลังจากถ่ายทำกันไปแล้วสองอาทิตย์ การได้เห็นเขาทำหน้าที่และเห็นผลงานที่ออกมา ผมก็มั่นใจว่านี้คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง"
ตามคำบอกเล่าของ เวเบอร์ ปัญหาของผู้กำกับหน้าใหม่คือ การปรับความคาดหวังสำหรับโปรเจ็คที่มีสเกลใหญ่กว่าการสร้างและทำกันเอง โดยเมื่อ ลี เข้ามาทำงานในระบบสตูดิโอ ทุนสร้างที่เขาเสนอมาก็อยู่ประมาณ 5-7 แสนเหรียญ เวเบอร์ เล่าว่า "ถึงแม้ว่าผมตกหลุมรักกับบทภาพยนตร์ แต่ผมก็บอก เดนนิส ไว้อย่างว่า นี้คือภาพยนตร์ที่ต้องอาศัยฝีมือของนักแสดงที่มีประสบการณ์ ที่จะทำให้มันอยู่ในระดับเดียวกับบทภาพยนตร์ ไม่งั้นมันก็อาจจะกลายเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง"
นักแสดงคนแรกที่เข้ามามีส่วนร่วมคือ จูเลีย โรเบิร์ต ผู้ซึ่งได้รับการแนะนำให้เข้ามาอ่านบทโดย แดนนี่ โมเดอร์ สามีของเธอ ซึ่งก็เข้ามาทำหน้าเป็นผู้กำกับภาพในกับเรื่องนี้ โดยผ่านทาง ฟิลลิป รอส พี่เขยของเขาผู้เป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้
โรเบิร์ต ตกหลุมรักในบทบาทของ ลิซ่า และการเข้ามาร่วมงานตั้งแต่แรกของเธอ และ เอมิลี่ วัตสัน ก็ช่วยให้พวกเขาสามารถรวบรวมนักแสดงคุณภาพคนอื่นๆได้ง่ายขึ้น เวเบอร์ เล่าว่า "ผมคิดว่ามันคือมิตรภาพที่ดีต่อกันในหมู่นักแสดง เพราะว่ามันได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง และผมคิดว่าคนดูคงรู้สึกใกล้ชิดกับมัน เพราะนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นครอบครัว จุดเด่นของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือมันแสนเรียบง่ายและเป็นความจริง"
สำหรับ แคร์รี่ แอน มอส ผู้ซึ่งรับบทเป็น เคลลี่ ภรรยาที่ระหองระแหงกับ ไมเคิล ปฏิกริยาของเธอก็ดูกระตือรือล้นไม่แพ้กัน เธอเล่าว่า "การเป็นคุณแม่ลูกสองในช่วงระหว่างอ่านบทภาพยนตร์ ฉันได้วางมันลงและเดินเข้าไปกอดกับลูกๆของฉันบนเตียง เพราะว่าสิ่งเกิดขึ้นในเรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกใจสลายหลายครั้ง มันเป็นเรื่องยากในการที่ต้องเห็นพ่อซึ่งรับบทโดย วิลเล่ม เดโฟ ทำเรื่องไม่ดีกับลูกของเขา พวกเขามีปัญหามากมายในความสัมพันธ์ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ครอบครัวเป็นครอบครัว"
เอมิลี่ วัตสัน ก็ได้พูดถึงการที่เธอตัดสินใจเข้ามาร่วมในโปรเจ็คนี้ว่า "ฉันได้พบกับ เดนนิส ลี เขาก็เป็นคนที่มีความอ่อนไหวและสุภาพมาก มันจะเป็นความรู้สึกอีกแบบนึงเลยถ้าคุณได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับที่เขียนบทเองด้วย เพราะนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเขามาก คุณจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ร่วมในช่วงระหว่างการถ่ายทำ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้ามาร่วมงานด้วยจริงๆ"
สำหรับ วิลเล่ม เดโฟ ผู้รับบทเป็น ชาร์ล เทยเลอร์ การมีบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงก็ช่วยในการตัดสินใจอยู่แล้ว แต่การเข้ามาร่วมงานของนักแสดงคนอื่นๆก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาตอบตกลงในที่สุด เขาเล่าว่า "การร่วมงานกับผู้กำกับหน้าใหม่เป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อย เพราะว่าคุณจะไม่รู้ว่าเขาจะทำตัวยังไงในกองถ่าย คุณสามารถดูจากหนังสั้นได้แต่นั้นก็เป็นคนละสเกลกัน คุณจะสามารถช่วยสนับสนุนคนสร้างที่มีแรงใจไปกับมัน นี้คือเหตุผลที่ในการที่เรื่องมีอุดมไปด้วยนักแสดงชั้นนำ ซึ่งต่างเข้ามาร่วมสนับสนุน เพราะแรงใจของ เดนนิส ในการที่จะสร้างมัน ซึ่งผมมักจะมีลางสังหรณ์ที่ดีในสถานการณ์แบบนี้"
การรวมตัวของกลุ่มนักแสดงในฝัน
เดนนิส ลี พูดถึงการเดินทางจากหนังอินดี้สู่หนังดราม่ารวมดาวว่า "ในช่วงที่ผมเขียนบทภาพยนตร์ ผมไม่ได้คิดถึงนักแสดงเหล่านี้เลย เริ่มแรกพวกเราจะสร้างมันด้วยเงินทุนประมาณ 5 แสนเหรียญ โดยมันจะเป็นหนังอินดี้ที่เล็กที่รวมนักแสดงที่มีฝีมือแต่อาจจะไม่มีชื่อเสียงมากนัก ถึงตอนนี้ผมก็คงต้องแปลกใจต่อไปว่า แล้วหนังเรื่องนั้นจะออกมาเป็นเช่นไร โดยเฉพาะเมื่อต้องเทียบกับตอนนี้ ซึ่งมันกลายเป็นหนังรวมดาวและทุนสร้างมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเช่นนี้"
เขายังพูดถึงการได้กลุ่มนักแสดงนี้มาร่วมงานว่า "พวกเขายอดเยี่ยมมาก ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่ดีไปกว่าพวกเขา ในการมารับบทเหล่านี้ วิลเล่ม แสดงเป็น ชาร์ล ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไรอัน เรย์โนลด์ ไม่ว่าผีอะไรเข้าสิงเค้าอยู่ก็ตาม ก็น่าทึ่งในการรับบทเป็น ไมเคิล รวมถึง แคร์รี่ แอน มอส และ เอมิลี่ วัตสัน ที่ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก และแน่นอน จูเลีย โรเบิร์ต ที่เป็นเหมือนผู้บันดาลให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นหนัง เธอเป็นเหมือนนักบุญประจำตัวผม"
เขาเล่าต่อว่า "แล้วก็ยังมี แชนน่อน ลูซิโอ ที่รับบทเป็นน้องสาวของ ไมเคิล เธอเป็นคนที่เราต้องต่อสู้เพื่อให้เธอมารับบทนี้ เธออาจยังไม่มีผลงานมากนัก แต่ทุกบทที่ได้รับเธอก็แสดงได้มีพลังมาก โดยเรายังมีนักแสดงเด็กที่มีอนาคตมากมาย ทั้ง เฮย์เด็น ที่ตอนนี้กลายเป็นสาวฮ๊อตที่สุดในฮอลลิวู้ดซะแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ"
ผู้อำนวยการสร้าง วาเนสซ่า คอร์ฟแมน เล่าว่า นักแสดงแต่ละคนได้นำเอาสิ่งที่แตกต่าง, สดใหม่ และน่าแปลกใจเข้ามาในโปรเจ็คนี้ "หลายคนในเรื่องได้รับบทบาทที่คุณไม่เคยเห็นพวกเขาเล่นมาก่อน เช่น เอมิลี่ ที่รับบทเป็นแม่บ้านอเมริกัน เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นในผลงานของเธอ ซึ่งเธอก็แสดงได้อย่างมีพลังและน่าอบอุ่น เธอช่วยสร้างสะพานระหว่าง ชาร์ล และ ไมเคิล สำหรับตัว ไรอั้น เรย์โนลด์ นี้ก็เป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยจากผลงานที่ผ่านมาของเขา ฉันคิดว่าทุกคนได้ช่วยกันสร้างบางสิ่งที่แปลกใหม่และพิเศษจริงๆ"
ชิว ได้เสริมถึงการพลิกบทบาทของ ไรอัน เรยโนลด์ ว่า "เขาคือใครบางคนที่ทุกคนจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตาดีจากบทตลกหรือบทแอ็คชั่น ดังนั้นผมคิดว่าทุกคนจะต้องแปลกใจที่ได้เห็นเขาในบทบาทนี้ ผมคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เขากลายเป็นนักแสดงที่ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ"
เรย์โนลด์ ก็พบว่า บทนี้มีความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเขา "หนังเรื่องนี้ได้สะท้อนให้ผมเห็นพลังขับเคลื่อนของพ่อและลูกที่ตัวเองเคยประสบมา มันเหมือนเป็นการบำบัดผ่านการแสดง สำหรับผมแล้วมันคือการค้นหาเหมือนกับบทอื่น แต่มันก็ยังอใกล้เคียงกับชีวิตจริงผม ผมคิดว่ามันได้เข้าไปสัมผัสถึงปัญหาบางอย่าง ที่ภาพยนตร์เรื่องอื่นไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปด้วยซ้ำ"
เสียงชื่นชมนั้นก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นักแสดงรุ่นใหญ่ เพราะนักแสดงรุ่นเล็กก็ยอดเยี่ยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เฮย์เด็น เป็นที่รู้จักกันอย่างมาจากบทสาวเชียร์ลีดเดอร์ที่ช่วยโลกใน Heroes ซีรี่ย์สุดฮิตที่ฉายทางโทรทัศน์ โดยเธอได้รับบทเป็นป้าเจนในอดีต ซึ่งยังถือว่าเป็นโปรเจ็คแรกที่เธอเข้าร่วมแสดงในหนังดราม่า แต่ เวเบอร์ ก็เชื่อมั่นว่าเธอสามารถแสดงได้อย่างเต็มที่
เขาพูดถึง เฮย์เด็น ว่า "เธอตอบสนองกับบทภาพยนตร์นี้เป็นอย่างดี เธอได้พบกับ เดนนิส และรู้สึกว่านี้อาจจะเป็นโอกาสของเธอในการแสดงภาพยนตร์ที่จริงจัง และผมคิดว่าเธอก็ทำได้สำเร็จ มันน่าสนใจสำหรับผมตรงที่ เธอยังอายุน้อยและสวยสุดๆอีก ซึ่งไม่น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของหนังดราม่าประเภทนี้"
ตามคำบอกเล่าของ เดนนิส ลี นักแสดงสาวคนนี้สามารถตีบทแตกสุดๆ "ผมไม่ได้ชีนำอะไร เฮย์เด็น เลย เธอทำให้ผมแปลกใจว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง เธอเป็นนักแสดงที่มีความเป็นมืออาชีพสูง และเธอก็ยังเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่มีพรสวรคค์ ผมหวังว่าบทนี้คงจะเป็นเวทีที่แสดงให้โลกเห็นว่า เธอคือนักแสดงที่พร้อมเป็นซุปเปอร์สตาร์ในอนาคต"
เฮย์เด็น เล่าว่าการรับบทเป็นป้าเจนในวัยเด็กถือเป็นโอกาสที่ดี "โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแสดงในช่วงอายุฉัน ทั้งทีมนักแสดงและบทภาพยนตร์เช่นนี้ นี้คือภาพยนตร์ที่มีคุณภาพและก็ไม่ได้ผ่านมาบ่อยๆ สำหรับฉันแล้วมันคือโอกาสสำคัญที่จะให้คนเห็นฉันในแง่มุมใหม่ๆ ในฐานะที่ตัวเองคือนักแสดงคนหนึ่ง โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับนักแสดงเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมฉากกับพวกเขา แต่การได้เป็นส่วนหนึ่งแค่นี้ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้ว"
คาร์เด็น บอยล์ รับทเป็น ไมเคิล ตอนเด็ก โดยมันเป็นบทบาทที่ค่อนข้างท้าทาย ด้วยความกดดันและอารมณ์โกรธที่สุมเข้ามา โดยเฉพาะฉากที่ต้องเล่นคู่กับ วิลเล่ม เดโฟ และฉากที่แสดงคู่กับแม่ของเขาและ เจน โดย บอยล์ ได้พูดถึงตัวละครนี้ว่า "ตัวละครของผมไม่มีความสุขเพราะความบาดหมางกับพ่อของเขา ที่คิดว่าทุกคนฝากความหวังเอาไว้กับตัวเขา ดังนั้นผมจึงต้องรู้สึกเครียดตลอดเวลา อย่างไรก็ตามผู้กำกับก็เข้าใจมัน และผมสามารถเรียนรู้ถึงประสบการณ์นี้ผ่านทางเขา"
ในขณะเดียวกัน นักแสดงเด็กที่รับบทเป็นลูกของป้าเจนคือ บรูคลิน พรูค และ เชส แอลลิสัน ก็ยังเป็นส่วนที่สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวในปัจจุบัน โดยพวกเขาได้นำเอาความลุ่มลึกและเติบโตเข้ามาใส่ในตัวละครนี้
เอมิลี่ วัตสัน ผู้รับบทเป็นแม่ของเด็กทั้งสอง ได้เล่าถึงลูกในจอของเธอว่า "ฉากที่สำคัญก็คือฉากที่ฉันแสดงร่วมกับ ไรอัน และทั้งคู่ พวกเขาดูเป็นธรรมชาติมาก ฉันคิดว่า บรูคลิน ยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่าเธอน่ารักแค่ไหน ส่วน เชส ก็มีพรสวรรค์และดูมีอนาคตอีกด้วย”
ผู้กำกับหน้าใหม่ฝีมือเก๋า
วิลเล่ม เดโฟ ได้พูดถึงผู้กำกับคนนี้ว่า "สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับ เดนนิส ก็คือ เขาเข้าใจในวัตถุดิบชิ้นนี้ และบทภาพยนตร์ก็ยังมีความชัดเจนในการสื่อสาร พวกเราทำงานกันอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผมคิดว่าเมื่อคุณรู้ว่าจะต้องมีอะไรอยู่ในตารางการทำงาน มันก็เป็นเรื่องง่ายในการทำงาน”
เขาเล่าต่อว่า “เดนนิส เป็นคนที่อ่อนโยนและอบอุ่น เขาสร้างความรู้สึกผ่อนคลายในกองถ่าย ซึ่งมันก็ต่างไปจากเหตุการณ์ปกติที่ผมชอบทำงานกับผู้คนที่เสียสติ (หัวเราะ) การได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นอย่างนี้ มันก็ช่วยให้ผมเข้าใจถึงความหมายของคำว่าครอบครัวมากขึ้น"
เฮย์เด็น ก็พูดถึงผู้กำกับว่า "เดนนิส เจ๋งมากจริงๆ ฉันคิดว่าเขาช่วยกำหนดแนวทางของหนัง เขาเป็นคนที่อบอุ่น, ใจเย็น และช่างสังเกตุ เขาไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อใครบางคนเสนอความคิดหรือกำหนดแนวทางอื่นให้กับเขา เขาเป็นคนที่มีความสามารถเหลือล้น และฉันก็คิดว่าเราโชคดีที่มีเขาเป็นผู้กำกับ”
แชนน่อน ลูซิโอ พูดถึงแนวทางการทำงานของผู้กำกับ "เดนนิส ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่พยายามควบคุมการแสดงของคุณจนมากเกินไป เขาปล่อยให้เราทำตามอย่างที่ใจคิด และหาวิธีช่วยให้มันสร้างผลกระทบให้กับคนดู บางทีเขาแนะนำคุณว่ามันควรต้องเป็นอย่างไร ก็โดยปกติแล้วเขาก็จะปล่อยให้นักแสดงวาดลวดลายกันเอง"
ไอออน กรัฟฟัดด์ รับบทเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและเป็นเพื่อนกับ ชาร์ล และ ลิซ่า โดยมันอาจจะเป็นบทที่เล็กแต่ก็สำคัญต่อเรื่อง ซึ่งความเสียใจของเขามีแค่การที่เขามีเวลาจำกัด ในการร่วมงานกับทีมงานนักแสดงและรวมถึงตัวผู้กำกับด้วย "ลี เป็นนักเขียนที่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ เขาเข้าใจว่าบทสนทนาจริงๆแล้วควรเป็นอย่างไร และโอกาสในการได้ร่วมงานกับเขาเป็นอะไรที่วิเศษ เขาเป็นคนที่ให้กำลังใจนักแสดงและน่ารัก"
เขาเล่าต่อว่า "ปกติแล้วผมจะทำงานในสภาพแวดล้อมที่กระอักกระอ่วนไม่ค่อยได้ แต่การที่เขามอบความไว้วางใจให้กับทุกคน มันก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายในการแสดง เขารักตัวละครพวกนี้ และเขารักนักแสดงและต้องการให้ทุกคนแสดงออกมาอย่างสุดความสามารถ"
ผู้อำนวยการสร้าง คอร์ฟแมน เล่าถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับว่า "ฉันคิดว่าการที่เขาลงทั้งแรงกายแรงใจลงไปในโปรเจ็คเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่นพวกเราถ่ายทำฉากที่ต้องสร้างฉากอุบัติเหตุรถยนต์ มันเป็นสถานการณ์ที่ เดนนิส เคยประสบมาในชีวิตจริง ดังนั้นทุกคนในกองก็อยากรู้ว่าเขาโอเคกับการถ่ายฉากนี้ไหม ฉันถาม เดนนิส ว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากใจไหมในการต้องเห็นฉากนี้อีกครั้ง เขาบอกฉันว่า "ผมคิดว่านี้ไม่ใช่ความจริง นี้คือสิ่งที่ผมพยายามจะรวบรวมมันขึ้นมาจากความทรงจำ นี้คือภาพยนตร์ที่ผมสร้างอุทิศให้แม่ของผม"
เริ่มต้นการสร้าง
ในบทภาพยนตร์นั้น เดนนิส ลี ต้องการให้เกิดเรื่องที่เมืองเล็กๆในรัฐอิลลินอย โดยตอนแรกนั้นทางทีมงานต้องการถ่ายทำโรงถ่ายนอกสถานที่ในแอลเอ แต่เพื่อความสมจริงและภาพที่สวยงามในทุ่งหญ้าสีทอง พวกเขาจึงตัดสินใจยกกองถ่ายไปแถวเมืองออสติน รัฐเท็กซัส
ชิว เล่าว่า "พวกเราเลือกถ่ายที่เท็กซัสเพราะว่าพวกเราต้องการให้มีทุ่งข้าวโพด ซึ่งพวกเราพยายามหากันในแอลเอ แต่เมื่อเราถ่ายแบบมุมกว้าง คุณก็จะเห็นทั้งภูเขาและต้นปาล์ม แต่พวกเราต้องการพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา เพราะในบทภาพยนตร์นั้น ก็มีการเปรียบสถานที่เหมือนตัวแทนของพายุ ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในท้องฟ้าสีฟ้าใส"
ถึงแม้จะมีพายุลูกเห็บที่มาต้อนรับทีมงาน เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองออสติน แต่ ร็อบ เพียร์สัน ผู้ออกแบบงานสร้างก็มั่นใจว่า นี้คือสถานที่ที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้อุปสรรคก็คือการหาบ้านที่สามารถเข้ากับวิสัยทัศน์ของ เดนนิส ลี โดยบ้านหลังนี้นั้นต้องเป็นสถานที่ที่ต้องสามารถเชื่อมต่อระหว่างสองยุคได้อย่างเหมาะเจาะ"
ฟิลลิป โรส ผู้ร่วมอำนวยการสร้างจำได้ว่า ทีมงานออกไปสำรวจหาบ้านที่เหมาะสมอยู่หลายวันจนรู้สึกท้อ "แต่ในวันที่ 3 เราก็ขับผ่านบ้านหลังหนึ่งในเมืองเล็กๆที่เราขับผ่านมานับไม่ถ้วน พวกเราออกมาจากรถ มันน่าขันตรงที่ไม่มีใครสักคนหยิบกล้องออกมาถ่ายเหมือนกับที่เราถ่ายบ้านหลังอื่นเลย สิ่งที่เราทำต่อจากนั้นคือการไปที่หลังรถ และรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้านเพื่อถ่ายมันทั้งหมด"
เพียร์สัน อธิบายต่อว่า "ในแง่ของการถ่ายทำมันเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะเราไม่มีทุนสร้างในการสร้างบ้านใหม่ บ้านหลังนี้ใหญ่พอและเล็กพอ สำหรับการที่พวกเราถ่ายออกมาแล้วจะไม่ดูโอ่งโถงจนเกินไป และมันยังดูเข้ากับสถานะทางสังคมของคนในครอบครัวที่อยู่ในเรื่องเป็นอย่างดี"
เพียร์สัน สรุปว่า “สำหรับผมแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ออกแบบงานสร้าง โดยเฉพาะการเป็นหนังที่อิงกับสถานที่แบบนี้ เป็นเรื่องที่มีชีวิตชีวามาก มันเป็นกระบวนการในการค้นพบอย่างช้าๆ บ้านหลังนี้มีทุกอย่างอยู่แล้วที่เราสามารถลงไปถ่ายทำได้เลย มันกลายเป็นบ้านในอุดมคติของเรา คุณเข้าไปในห้องหนึ่งและยังสามารถเห็นได้อีกสามห้อง มันมีหน้าต่างมากมายและแสงจากธรรมชาติก็ยิ่งช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับบ้านหลังนี้”
บ้านที่สมบูรณ์แบบ
บ้านที่เป็นเหมือนกับอีกตัวละครหนึ่งในเรื่อง ถือเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของอเมริกา และเพิ่งได้รับการประกาศให้เป็นบ้านอนุรักษ์จากทางการรัฐเท็กซัส โดยมี เทอร์รี่ และ แพทริเซีย ออร์ เป็นเจ้าของบ้านในปัจจุบัน
แพทริเซีย เล่าว่า "พวกเขามาติดต่อขอถ่ายทำก่อนที่เราจะได้รับการขึ้นทะเบียนเสียอีก คนที่มาหาเรานั้นเป็นผู้หญิงที่ตอนนั้นกำลังยืนหนาวอยู่หน้าบ้าน เมื่อเข้ามาเธอก็บอกว่ายังมีคนอยู่ข้างนอกอีก พอฉันเชิญเข้ามาหมดก็พบว่ามีทั้งผู้กำกับภาพ, ผู้ออกแบบงานสร้าง..." เทอร์รี่ เสริมให้กับภรรยาว่า "ยังมีผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง แค่เพียงมองตาคุณก็จะรู้เลยว่าพวกเขาต้องการอะไรบ้าง เราคุยกันอย่างเป็นกันเอง พวกเขาบอกเราว่าทั้งการออกแบบและโครงสร้างของบ้านหลังนี้ เหมาะสมที่จะอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สุด"
บ้านหลังนี้มีความพิเศษ โดยมันถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบสมัยเก่า ถึงแม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่มันก็มีส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามปฏิวัติช่วงปลายทศวรรษที่ 1830
บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นสองครั้ง บ้านฟาร์มหลังเล็กปรากฏอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่ปี 1880 แต่ในปี 1910 มันก็ถูกรื้อถอนเมื่อมีการขยายถนน หลังจากนั้นเจ้าของคนก่อน มารี เฮสเลอร์ ก็ได้สร้างบ้านขนาดปกติในยุคนั้น ซึ่งก็ถือว่าใหญ่กว่าขนาดบ้านปัจจุบันอยู่พอสมควร โดยมีความพิเศษตรงที่กระจกหน้าบ้านที่ เฮสเลอร์ ซื้อมาจากสวิสเซอร์แลนด์
ในขณะเดียวกัน แพทริเซีย ออร์ ที่เป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยท้องถิ่น ก็ยังอนุญาติให้ใช้ห้องสมุดและหนังสือจำนวนมหาศาลของเธอเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก ซึ่งจากพื้นเพของครอบครัวในเรื่องที่ ชาร์ล เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็ทำให้คนดูสามารถระบุถึงตัวละครนี้ได้ง่ายขึ้น
สำหรับทีมงานนักแสดงแล้ว การไปถ่ายทำในรัฐเท็กซัสโดยเฉพาะที่บ้านของครอบครัวออร์ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่รู้ลืม เพราะมันเหมือนเป็นสถานที่เชื่อมต่อระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยมันช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงตัวละครที่เล่นได้เร็วยิ่งขึ้น
วิลเล่ม เดโฟ ผู้รับบทเป็น ชาร์ล เล่าว่า "สิ่งที่น่าแปลกก็คือ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหลุดออกไปจากโลกยุคโลกาภิวัฒน์ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ที่มีลานหน้าบ้านและชิงช้า มันช่วยให้คุณเข้าใจถึงโลกในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไปถ่ายทำกันที่เมืองเล็กๆในแถบมิดเวสต์ แต่มันก็เหมือนกับเราย้อนเวลากลับไปถ่ายทำในอดีต ในบ้านหลังนี้ผมต้องรับบทเป็นพ่อวัย 36 ที่ยังมีลูกเล็กๆ ในขณะเดียวกันผมก็ต้องรับบทเป็นพ่อวัย 56 ที่ลูกออกไปจากบ้านกันหมดแล้ว"
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูสมบูรณ์แบบ แต่การถ่ายทำในรัฐเท็กซัสก็ทำให้ทีมงานได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ในแอลเอไม่สามารถมอบให้กับพวกเขา ทั้งความชื้นและสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดในช่วงเวลาการถ่ายทำ ซึ่งพายุที่โหมเข้าใส่กองถ่ายก็ทำให้ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดบนสนามหน้าบ้านล้ม เดชะบุญที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และก็ไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอย่างอื่นเกิดขึ้นกับทีมงาน”
เพียร์สัน เล่าถึงสภาพบรรยากาศที่พวกเขาเผชิญว่า "การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น เมื่อคุณดูรอบๆตัวบ้านแล้วสังเหตุเห็นว่ามีต้นไม้ใหญ่หายไป ผมหวังว่าคนดูจะไม่คิดว่าพวกเราจะตัดต้นไม้เพื่อสร้างหนังเรื่องนี้หรอกนะ โดยการเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางในขณะที่ต้องรักษาตารางเวลาทำงาน เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับพวกเราเช่นกัน"
เทอร์รี่ ออร์ พูดถึงภัยทางธรรมชาตินี้ว่า "คุณรู้ไหม ไม่ว่าทีมงานสร้างภาพยนตร์จะมาถ่ายหรือไม่ก็ตาม ยังไงพายุก็ต้องพัดใส่พวกเราอยู่แล้ว โชคดีที่ทางสตูดิโอภาพยนตร์เข้ามารับผิดชอบทุกอย่าง ผมรู้สึกซาบซึ้งในการจัดการของพวกเขา เพราะถ้าพวกเขาไม่มา มันก็อาจจะเป็นหายนะของพวกเราจริงๆ"
เทอร์รี่ ได้สรุปถึงปรสบการณ์ที่เขาได้รับว่า "ทั้งทีมงานนักแสดงและทีมงานสร้างทุกคน ต่างมีความเคารพในสถานที่และบ้านของเรา การกระทำของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเคารพผมและภรรยา นี้คือประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม หลังจากอยู่ที่นี่มา 15 ปี ไม่แปลกใจเลยว่า นี่คือ 2 เดือนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา"
บทสรุป
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ดึงดูดคนดูให้เข้ามารับประสบการณ์จาก Fireflies in the Garden ก็คือโอกาสในการเห็นบางสิ่ง ที่จะสะท้อนให้เห็นตัวเองและการดิ้นรนของตัวละครที่อยู่บนจอภาพยนตร์
ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง ฟิลลิป โรส สรุปถึงสาระสำคัญของเรื่องนี้ว่า "Fireflies in the Garden เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวในอเมริกา รวมถึงทุกครอบครัวบนโลกใบนี้ ทุกคนที่เคยอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนอินไปกับมัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงขับเคลื่อนของครอบครัวที่พวกเขาสื่อถึงได้ หรือบางสิ่งที่พวกเขาคิดว่าตัวเองเคยสัมผัสมันมาแล้วในช่วงชีวิตหนึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวธรรมดาและครอบครัวที่ไม่ธรรมดา"
ผู้อำนวยการสร้าง มาร์โค เวเบอร์ ก็มีการสรุปหัวใจของเรื่องไว้เช่นกันว่า "ถ้าคุณสนใจค้นหาความหมายของ ความฝันของชาวอเมริกัน นี้ก็เป็นภาพยนตร์สำหรับคุณ สิ่งที่ทำให้ผมชอบก็คือมันยกปัญหาขึ้นมาตีแผ่ มันมีความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังทิ้งความหวังให้กับคนดู คุณจะเห็นว่าปัญหาเหล่านั้นสามารถแก้ไขได้ ถึงแม้ว่าจะผ่านไปกี่ทศวรรษก็ตาม มันไม่สายไปที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น เพราะว่าชีวิตของเรานั้นสั้นเกินไปที่จะแบกรับมันไว้"
วาเนสซ่า คอร์ฟแมน ก็ได้สรุปความเห็นของเธอไว้ว่า "โดยเนื้อแท้แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงความทรงจำ ที่บางทีเราอาจเลือกจำบางสิ่งหรือจำเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเรามีโอกาสที่จะนั่งขุดมันขึ้นมา เราก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่สีขาวหรือดำ ดังเช่ที่มันอยู่ในสมองของเรามาโดยตลอด"
ทีมนักแสดง
ไรอัน เรย์โนลด์ (รับบทเป็น ไมเคิล)
นักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้คือตัวขับเคลื่อนหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเขารับบทเป็น ไมเคิล พระเอกของเรื่อง โดยเราอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขาดีกับ Blade: Trinity ที่เขารับบทเป็น ฮัลนิบาล คิง ที่ก็สามารถขโมยซีนและข่มนักแสดงนำของเรื่องอย่าง เวสลี่ย์ สไนป์ จนอยู่หมัด
เขายังได้เคยรับบทนำในหนังฮิตในสหรัฐมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Smokin' Aces หนังแอ็คชั่นสุดมันส์, The Amityville Horror หนังผีทวงบ้าน, Definitely, Maybe หนังโรแมนติก-คอเมดี้ และล่าสุดที่เขากำลังจะรับบทเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ใน X-Men Origins: Wolverine และแสดงนำคู่กับ แซนดร้า บูลล็อค ใน The Proposal
จูเลีย โรเบิร์ต (รับบทเป็น ลิซ่า)
เธอคือนักแสดงคนแรก และถือเป็นแม่เหล็กที่ช่วยดึงดูดให้นักแสดงคนอื่นๆเข้ามาร่วมในโปรเจ็ค เธอก็คือขวัญใจมหาชนอย่างแท้จริง โดยมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านเหรียญเฉพาะในสหรัฐนับสิบเรื่อง และยังเป็นผู้หญิงคนแรกในฮอลลิวู้ดที่รับค่าตัวถึง 20 ล้านเหรียญต่อเรื่อง ในขณะเดียวกันเธอยังเคยได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Erin Brockovich ของผู้กำกับ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก
วิลเล่ม เดโฟ (รับบทเป็น ชาร์ล)
เขาคือนักแสดงที่เคยถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง จาก Platoon หนังสงครามเวียดนามเรื่องเยี่ยมของผู้กำกับ โอลิเวอร์ สโตน และ Shadow of the Vampire หนังแวมไพร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง แต่ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ เราจะรู้จักเขาในบท กรีน ก๊อบลิน ศัตรูคู่อาฆาตของ สไปเดอร์แมน จาก Spider-Man มหากาพย์ไตรภาคซุปเปอร์ฮีโร่ของผู้กำกับ แซม ไรมี่
เอมิลี่ วัตสัน (รับบทเป็น เจน)
เธอคือนักแสดงสาวชาวอังกฤษ โดยเธอสามารถแจ้งเกิดจากภาพยนตร์ดราม่าสุดเศร้าของผู้กำกับ ลาส วอน เทียร์ เรื่อง Breaking The Waves ซึ่งทำให้เธอถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิง ซึ่งเธอก็ได้เข้าชิงอีกครั้ง จากบทนักเชลโล่สาวในเรื่อง Hilary And Jackie ที่เธอแสดงคู่กับ ราเชล กริฟฟิธ
ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอ ก็ยังมีเรื่อง Red Dragon ในบทสาวตาบอดผู้หลงรักฆาตกรโรตจิต, Miss Potter ในบทพี่สาวของ ยวน แม็คเกรเกอร์ และ The Water Horse หนังแฟนตาซี-ครอบครัวที่เล่าถึงตำนานมังกรน้ำในทะเลสาบ
เฮย์เด็น พาเน็ตเทียร์ (รับบทเป็น เจน ในวัยเด็ก)
เธออาจไม่ใช่คนทางจอเงินที่เราคุ้นหน้ากันนัก แต่ในจอแก้วเธอคือนักแสดงที่ผู้ชมรู้จักกันดี จากซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Heroes ซึ่งเล่าถึงกลุ่มคนที่มีความสามารถพิเศษ และพวกเขาก็ต้องรับมือกับการตามล่าขององค์กรลับและผู้มีความสามารถพิเศษคนอื่น โดยเธอรับบทเป็น แคลร์ สาวเชียร์ลีดเดอร์ ที่มีพลังในการรักษาตัวเองเหนือมนุษย์ทั่วไป
โดยในปีนี้ เธอก็จะมีผลงานภาพยนตร์โรแมนติก-คอเมดี้เรื่อง I Love You, Beth Cooper ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ คริส โคลัมบัส ผู้กำกับ Home Alone ทั้งสองภาค และ แฮรี่ พ็อตเตอร์ สองภาคแรก
แคร์รี่ แอน มอส (รับบทเป็น เคลลี่)
เราคงจำเธอกันได้จากบท ทรินิตี้ ในภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟ The Matrix ที่ทำรายได้รวมในสหรัฐไปเกือบ 600 ล้านเหรียญ โดยบทอื่นๆของเธอก็ยังมี Memento หนังไอเดียกิ๊บเก๋ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน, Fido หนังซอมบี้ย้อนยุค และล่าสุดใน Disturbia หนังทริลเลอร์แจ้งเกิดของ ไชอา ลาบัฟ พระเอกหนุ่มจาก Transformers
ไอออน กรัฟฟัดด์ (รับบทเป็น แอ๊ดดิสัน)
เขาคือนักแสดงชาวเวลส์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในสหราชอาณาจักรจากซีรี่ย์ชุด Hornblower แต่ภาพยนตร์ที่ทำให้ทั้งโลกรู้จักเขาก็คือ Fantastic Four และ Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer ซึ่งเขารับบทเป็น รีด ริชาร์ด หรือ “มิสเตอร์แฟนตาสติค” นักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถพิเศษในการยืดหดร่างกายได้
ทีมผู้สร้าง
เดนนิส ลี (ผู้กำกับ/เขียนบท)
ผลงาน Henry Jesus Christ
มาร์โค เวเบอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน Igby Goes Down, The Informers
แดนนี่ โมเดอร์ (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน The Brass Teapot, The Hit, Border, Roadie
โรเบิร์ต เพียร์สัน (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน Even Money, The Matador, The Street Lawyer, Joy Ride
ดีดี้ อัลเลน (ผู้ตัดต่อ)
ผลงาน John Q, Wonder Boys, Henry & June, The Breakfast Club, The Wiz
ฮาเวียร์ นาวาเร็ตติ (ผู้ประพันธ์เพลง)
ผลงาน Pan’s Labyrith, Mirrors, Inkheart