กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--ธนาคารนครหลวงไทย
รายงานข่าวจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ลูกค้าที่ลงทะเบียนเพื่อรับเงื่อนไขและสิทธิพิเศษสำหรับ “บริการเงินฝากคู่พิเศษ SCIB Duo Plus” ภายในงาน “มหกรรมการเงิน ครั้งที่ 9” (Money Expo 2009) สามารถฝากเงินได้ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2552 เท่านั้น โดยผู้ที่ลงทะเบียนภายในงานจะได้รับเงื่อนไขพิเศษอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำพิเศษ 6 เดือน และรับดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25% ต่อปี เมื่อฝากคู่กับ“บัญชีเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์” ยังจะได้รับข้อเสนอดอกเบี้ยออมทรัพย์ปกติและบวกเพิ่มพิเศษอีก 0.25% ต่อปีอีกด้วย ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนใน “บริการสินเชื่อบ้าน” (SCIB Home Loan) ยังสามารถรับข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษภายใต้แนวคิด “สินเชื่อบ้านเลือกง่าย ๆ ดอกเบี้ยเบา ๆ พร้อมลดหย่อนภาษีเต็ม ๆ” โดยอัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นที่ 3.25% ต่อปี (อิงดอกเบี้ยลอยตัว) นาน 2 ปี วงเงินกู้สูงสุด 95% พร้อมบัตรรับประทานอาหาร ณ ห้องสกาย เลานจ์ โรงแรมใบหยก จำนวน 2 ใบ ฟรี โดยจะต้องจดจำนองภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ตลอดจนเงื่อนไขสำหรับผู้สมัครบัตรเครดิตใหม่ทุกประเภท เช่น รับเงินคืนทันที 500 บาท เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร 5,000 บาทขึ้นไป ภายใน 60 วัน สิทธิพิเศษที่ 2 รับเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยเพียง 9% ต่อปี นานสูงสุดถึง 4 รอบบัญชี และสิทธิพิเศษต่อที่ 3 รับฟรี กระเป๋าล้อลาก เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร 8,000 บาทขึ้นไป ภายใน 60 วัน
ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทในเครือประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยมีลูกค้าให้ความไว้วางใจเลือกใช้บริการและเข้าเยี่ยมชมบูธของธนาคารภายในงานดังกล่าวภายใต้แนวคิด “UP UP and Away Balloon” ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายความสนุกสาน ความเป็นนวัตกรรม และความเจริญก้าวหน้า ตลอดจนการเติบโตขึ้นเมื่อทำธุรกรรมกับธนาคารเป็นจำนวนมาก โดยมียอดธุรกรรมจำนวนทั้งสิ้น 7,338 ธุรกรรม วงเงินรวมกว่า 7,550 ล้านบาท สำหรับบริการทางการเงินที่มีผู้ขอใช้บริการมากที่สุด คือ “บริการสินเชื่อบ้าน” ซึ่งมียอดธุรกรรมทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท รองลงมาคือ “บริการเงินฝากคู่พิเศษ SCIB Duo Plus” มียอดเงินฝากเบื้องต้น 174 ล้านบาท สำหรับบริการสินเชื่อเงินสดหมุนเวียนและบริการบัตรเครดิต มียอดรวม 85 ล้านบาท ขณะที่มีนักลงทุนให้ความสนใจซื้อหน่วยลงทุนของ บลจ. นครหลวงไทย ในกองทุนประเภทต่าง ๆ รวมกว่า 178 ล้านบาท และมียอดเปิดบัญชีซื้อ-ขายหลักทรัพย์รายใหม่กับ บล.นครหลวงไทย จำนวน 75 บัญชี รวมวงเงิน 12 ล้านบาท