กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--อินโดรามา โพลีเมอร์ส์
บริษัท อินโดรามา โพลีเมอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IRP ผู้ผลิตโพลีเอสเตอร์ (PET) รายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ประกาศกำไรสุทธิ 681 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งสูงกว่า 197.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เหตุจากยอดขายที่สูงขึ้นกว่าเท่าตัว และต้นทุนการผลิตที่ลดลง
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลประกอบการไตรมาสแรกที่ผ่านมาสูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ เป็นผลมาจากความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บริษัท ฯ มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง” นายอาลก โลเฮีย ประธานคณะกรรมการบริหาร IRP กล่าว
นายโลเฮีย กล่าวว่า ยอดขายที่โตกว่า 41.2% โดยเฉพาะยอดขายที่เพิ่มขึ้นสูงสุดจากลูกค้าในกลุ่มประเทศยุโรป เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา โดย IRP เข้าซื้อกิจการของโรงงานผลิต PET 2 แห่ง ในทวีปยุโรป เมื่อเดือนเมษายน ปีพ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นตลาด PET ที่ใหญ่ที่สุดโดยมียอดขายกว่า 152,943 ตันในไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นจากยอดขาย 53,521 ตันในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่ายอดขายรวม 129,068 ตันในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา
นายโลเฮีย กล่าวว่า ในไตรมาสแรกบริษัท ฯ มีปริมาณการขายสูงกว่าปริมาณการผลิต โดยอัตราส่วนยอดขายต่อการผลิตคิดเป็น 104.3% สูงกว่า อัตราส่วนที่ 94.1% ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา โดยบริษัท ฯ มีรายได้รวมจากการขายเท่ากับ 10,062 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 7,120 พันล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
“ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้บริษัท ฯ วางแผนที่จะใช้จ่ายเงินสด 1,200 ล้านบาท ในการชำระดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจาก 1.50 เท่า ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาลงเหลือเพียง 1.15 เท่า” นาย โลเฮียกล่าว
นายโลเฮีย ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ค่าดอกเบี้ยจ่ายในไตรมาสแรกลดลงเหลือ 17 เหรียญสหรัฐต่อตัน จาก 25 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลดีจากการลดลงของภาระจ่ายดอกเบี้ย
IRP มีอัตรากำไรก่อนหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 11.6% ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา สูงขึ้นจาก 7.7% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัท ฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารสินค้าคงคลัง รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน และการผลิตที่ลดลง
สำหรับราคาส่วนต่างของส่วนผสม (spread) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดศักยภาพการสร้างรายได้นั้น นาย โลเฮีย กล่าวว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ราคาส่วนต่างของส่วนผสมอยู่ที่ 232 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น จาก 208 เหรียญสหรัฐต่อตันในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และลดลงเล็กน้อยจาก 234 เหรียญสหรัฐต่อตัน สำหรับค่าเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา โดยผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นบนพื้นฐานงบดุลประจำปีเพิ่มขึ้นเป็น 1.97 บาท/หุ้น ในไตรมาสแรกของปีนี้ซึ่งสูงกว่า 0.66 บาท/หุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
IRP เป็นกลุ่มบริษัทในเครือ อินโดรามา เวนเจอร์ หนึ่งในผู้ผลิต PET รายใหญ่ของโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ กรุงเทพฯ และมีโรงงานผลิตกว่า 14 แห่ง ใน 5 ประเทศ (3 ทวีป) มีการจ้างงานกว่า 3,600 คน และตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้รวมกว่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2552