กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--บีโอไอ
บีโอไอ จับมือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาใหญ่ในเดือนมิถุนายน นี้ เพื่อสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการไทยศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศพม่า-กัมพูชา เพิ่มช่องทางขยายฐานธุรกิจ ชี้ทั้ง 2 ประเทศ พร้อมรองรับการลงทุนทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต พลังงาน การจัดการระบบสาธารณูปโภค โรงแรมและการท่องเที่ยว
นางวาสนา มุทุตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือการลงทุนต่างประเทศ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภายในเดือนมิถุนายนนี้ บีโอไอกำหนดที่จะร่วมกับสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาฯมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ แก่ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าไปลงทุนในสหภาพพม่า และกัมพูชา สำหรับใช้เป็นปัจจัยประกอบการพิจารณาเข้าไปลงทุนใน 2 ประเทศดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้รูปแบบการสัมมนาจะประกอบด้วยการให้ความรู้ และข้อมูลทางวิชาการ รวมถึงการรับฟังข้อมูลจากประสบการณ์จริงของผู้ที่ลงทุนจากทั้ง 2 ประเทศ เริ่มด้วยการจัดสัมมนา เรื่อง “โอกาสและความท้าทายในการลงทุนในสหภาพม่า” ในวันที่ 11 มิถุนายน 2552 นี้ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ประจำกรุงย่างกุ้ง และตัวแทนจากบริษัท ลำปางฟู้ด โปรดักส์ จำกัด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธ์ จำกัด และตัวแทนจากชมรมผู้ค้าชายแดนในไทย-พม่า ร่วมให้ความรู้ในการเข้าไปลงทุน และโอกาสของการดำเนินธุรกิจในสหภาพพม่า
วันที่ 16 มิถุนายน 2552 จัดสัมมนาในหัวข้อ “โอกาสและความท้าทายในการค้า การลงทุนในประเทศกัมพูชา” ที่ จ.ขอนแก่น โดยอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ประจำกรุงพนมเปญ ร่วมอภิปรายและให้ความรู้ และรับฟังประสบการณ์การลงทุนในประเทศกัมพูชา จากนักธุรกิจที่ทำการค้าการลงทุนในกัมพูชา และประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา
“นอกเหนือจากการส่งเสริมการลงทุนในประเทศแล้ว บีโอไอยังจะให้ความสำคัญกับนโยบายการผลักดันให้นักธุรกิจไทยขยายการดำเนินธุรกิจไปลงทุนในต่างประเทศได้ เพื่อเพิ่มช่องทางลดต้นทุนการผลิตสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือกลุ่ม CLMV ที่ประกอบด้วย ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม ที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทย ที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจง่ายขึ้น โดยการสัมมนาครั้งนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการมีความรู้และความเข้าใจในข้อจำกัด และอุปสรรค รวมถึงการปรับตัวเพื่อให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จต่อไป” นางวาสนา กล่าว
นางวาสนา กล่าวว่า ประเทศพม่า และกัมพูชา เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดกับไทย และมีความพร้อมในด้านของทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และแรงงาน ที่จะรองรับการลงทุนของนักธุรกิจไทยได้อีกมาก ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การเกษตร การท่องเที่ยว พลังงาน เป็นต้น
ทั้งนี้จากข้อมูลระหว่างปี 2531-2551 (กุมภาพันธ์) ไทยมีมูลค่าการลงทุนในพม่าสูงที่สุด มีสัดส่วนในการค้าการลงทุนถึง 7,391.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจลงทุนสูงสุดได้แก่ พลังงาน ขุดเจาะก๊าชธรรมชาติ อุตสาหกรรมการผลิต การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นต้น
ในขณะที่ภาพรวมการลงทุนของไทยในประเทศกัมพูชา ในช่วงปี 2537-2551 มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 318.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการลงทุนในสาขาเกษตรกรรม อุตสาหกรรม สาขาสาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น