กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--บีโอไอ
ปิยะบุตร เดินหน้าแจงนโยบายส่งเสริมการลงทุน ภายใต้รัฐบาลใหม่แก่หอการค้าต่างประเทศในไทย ย้ำนโยบายไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมหนุนการลงทุนต่างประเทศ
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึง การประชุมหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กับหอการค้าต่างประเทศในไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) ในวันนี้ (20 ต.ค.) ว่า จุดประสงค์ในการเชิญหอการค้าต่างประเทศ ทั้ง 25 แห่ง มาร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความชัดเจนในนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ให้นักลงทุนต่างชาติได้ทราบ หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวมาบริหารประเทศ โดยได้แจ้งให้หอการค้าต่างประเทศทราบว่า รัฐบาลปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะด้านบุคคลากรที่จะรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้หอการค้าต่างประเทศได้เสนอแนะความเห็น รวมทั้งสะท้อนปัญหาและอุปสรรคของการลงทุนในประเทศไทย
ด้าน นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ที่ผ่านมา บีโอไอได้แจ้งให้นักลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศได้ทราบว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอไม่มีการเปลี่ยนแปลง และปัจจุบันสำนักงานยังมีการพิจารณาคำขอรับส่งเสริมการลงทุนตามปกติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าเร็วนี้ได้มีโครงการมาขอรับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการเล็กและโครงการใหญ่ เช่น บริษัทนิเด็ค และเวสท์เทิร์น ดิจิตอล ฯลฯ และจะมีการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในเร็ววันนี้
ด้านนายปีเตอร์ แวน ฮาเรน ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย(Joint Foreign Chamber of Commerce) กล่าวว่า หอการค้าาต่างประเทศพร้อมสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและยังเชื่อมั่นในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศไทย โดยนักธุรกิจที่ลงทุนอยู่เดิมส่วนใหญ่ยังดำเนินตามแผนธุรกิจต่อไป ขณะที่นักธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยและยังไม่ได้ตัดสินใจลงทุนอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างที่จะเลือกลงทุน ดังนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันจึงต้องเร่งสร้างความชัดเจนในนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะแนวนโยบายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและกฎระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินการของธุรกิจต่างชาติในไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งการสานต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลเดิมด้วย