ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร “ศุภาลัย” เป็น “BBB+/Stable” จากเดิม “BBB/Stable”

ข่าวทั่วไป Friday March 3, 2006 10:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB+” จากเดิมที่ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน และความสำเร็จของการขายโครงการคอนโดมิเนียมราคาประหยัด นอกจากนี้ การให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลงานที่ยาวนานในตลาดที่อยู่อาศัยของบริษัท ตลอดจนภาพพจน์ตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม รวมทั้งการมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลของอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง รวมถึงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทจะสำเร็จตามที่วางแผนไว้ นอกจากนี้ ความได้เปรียบในการบริหารต้นทุนน่าจะทำให้บริษัทสามารถลดทอนแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้างได้ อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงนโยบายการลงทุนที่ระมัดระวังและรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับประมาณ 50% ต่อไปได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บมจ. ศุภาลัย เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยชั้นนำซึ่งพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยเน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ระดับปานกลาง และมีราคาขายระหว่าง 2-7 ล้านบาทต่อหลัง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการกำหนดราคาขายที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรที่กระจายตัวอยู่ในหลายทำเล
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2548 เป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทมียอดขายที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 3,604 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 7,345 ล้านบาทในปี 2548 เนื่องจากผลสำเร็จของโครงการคอนโดมิเนียมราคาประหยัดคือ “ซิตี้โฮม” เป็นหลัก จากยอดขายรวม 3,533 หน่วยจำแนกเป็นคอนโดมิเนียม 2,764 ห้อง และบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 769 หลัง บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2,036 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 3,441 ล้านบาทในปี 2548 ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรยังอยู่ในระดับดี โดยมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 28% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรอยู่ในระดับที่ดีประมาณ 14%-15% ในขณะเดียวกัน บริษัทยังสามารถดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายโครงการเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ทริสเรทติ้งยังกล่าวด้วยว่าการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีการเสนอขายที่อยู่อาศัยน้อยลงในขณะที่ความต้องการยังคงทรงตัวต่อไป ทั้งนี้ ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลทำให้กำไรของผู้ประกอบการลดลง ในขณะเดียวกัน นโยบายการปล่อยกู้ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของธนาคารพาณิชย์น่าจะเป็นปัจจัยจำกัดการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ