กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
- ชูจุดเด่นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคอกาแฟ หวังขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดเพื่อสุขภาพ -
กาแฟโซลิโต้สร้างทางเลือกใหม่แก่ผู้รักสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ชอบดื่มกาแฟคั่วบด ล่าสุดเปิดตัว “โซลิโต้ ออแกนิโก้” กาแฟอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ หรือ Certified Organic Coffee ผลผลิตกาแฟสัญชาติไทยที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ บนยอดเขาดอยหลวง จ. เชียงราย โดยได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากไบโออะกริเซิร์ท (Bioagricert) หน่วยตรวจสอบอิสระ ผู้ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานโดยสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ พร้อมส่งลงตลาดผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดชั้นนำของเมืองไทยหวังขยายกลุ่มลูกค้าสู่ตลาดเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
นางสาววัชรี ลีวุฒินันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท คอฟฟี่ บีนเนอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ในปัจจุบันกระแสความนิยมบริโภคกาแฟอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ หรือ Certified Organic Coffee กำลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทั่วทุกมุมโลก เพราะกาแฟดังกล่าวปราศจากการใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนการเพาะปลูก ทำให้ผู้ดื่มมั่นใจได้ว่าไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังไม่ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทั้งยังมีรสชาติที่กลมกล่อม ด้วยจุดเด่นและกระแสความนิยมดังกล่าว โซลิโต้ จึงได้พัฒนา “โซลิโต้ ออแกนิโก้ (Zolito Organico) ” กาแฟคั่วบดในรูปแบบ กาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee ขึ้นเพื่อเสนอสู่ตลาดเมืองไทย ยิ่งไปกว่านั้น “โซลิโต้ ออแกนิโก้ (Zolito Organico)” ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากไบโออะกริเซิร์ท (Bioagricert) หน่วยตรวจสอบรับรองอิสระ ผู้ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานโดยสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agricultural Movements) องค์กรสากลที่ทำหน้าที่ส่งเสริมมาตรฐานในการผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อรับรองว่า “โซลิโต้ ออแกนิโก้ (Zolito Organico) ” เป็นกาแฟอินทรีย์ 100% ซึ่งถือเป็นกาแฟคั่วบดสัญชาติไทยรายแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานดังกล่าว
“ปัจจุบันประเทศที่เป็นผู้บริโภคหลักของกาแฟอินทรีย์หรือ Organic Coffee ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, เยอรมันนี, สวิตเซอร์แลนด์, เนเธอแลนด์, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้การตอบรับต่อ Organic Coffee มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากผู้บริโภคใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ และนอกเหนือไปจากนั้นคือใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ส่วนประเทศที่เป็นผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่อยู่ในแถบละตินอเมริกา อาทิ คอสตาริก้า, เปรู, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, นิคารากัว, เอลซัลวาดอร์, บราซิล และโคลัมเบีย ส่วนประเทศไทยนั้น การบริโภคกาแฟอินทรีย์หรือ Organic Coffee ถือเป็นเรื่องใหม่ โซลิโต้ มองเห็นโอกาสทางการตลาดังกล่าวจึงได้พัฒนา “โซลิโต้ ออแกนิโก้ (Zolito Organico)” ขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งค่อนข้างเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือ niche market แต่อย่างไรก็ตาม โซลิโต้ เชื่อมั่นมากว่า “โซลิโต้ ออแกนิโก้ (Zolito Organico)” จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงชาวต่างชาติ ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยที่มีความคุ้นเคยกับ กาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee อีกด้วยทั้งนี้ ในช่วงแรกได้วางจำหน่ายที่ เซ็นทรัล ฟู้ดส์ ฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม, มาร์เก็ต เพลส ทุกสาขา, โซลิโต้ ช็อป เอกมัยซอย 20 และจำหน่ายผ่านทาง www.zolito.com โดยจำหน่ายในราคาซองละ 280 บาท ขนาดบรรจุ 250 กรัม” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท คอฟฟี่ บีนเนอรี่ จำกัด กล่าว
บริษัท คอฟฟี่ บีนเนอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟคั่วบดแบรนด์ โซลิโต้ ได้สร้างสรรค์กาแฟคั่วบดคุณภาพออกสู่ตลาดเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายเพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถเลือกบริโภคได้ตามต้องการ โดยในช่วงแรกได้ทำการเปิดตัวทั้งสิ้น 5 แบบ 5 สไตล์ ประกอบด้วย พรีโม่ เอสเปรสโซ่ กาแฟคั่วบดรสชาติเข้มข้น หอมกรุ่น และให้เอสเปรสโซ่ช็อทที่สมบูรณ์แบบ พร้อมฟองครีมสีทอง เอสเปรสโซ่ โทโร่ กาแฟคั่วบดรสเข้มและหอมหวานพร้อมสัมผัสกลิ่นของคาราเมล เหมาะสำหรับทำเครื่องดื่มที่มีเอสเปรสโซ่เป็นส่วนประกอบ อาทิ คาปูชิโน่ คาเฟลาเท คาเฟมอคคา คาเฟอเมริกาโน โรสต์มาสเตอร์ เซเล็กต์ กาแฟคั่วบดรสชาติหอมหวน ยั่วยวน ด้วยสัมผัสของกลิ่นวนิลาอ่อนอ่อน เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในยามเช้า โกลเด้น เบอรี่ กาแฟคั่วบดเมล็ดเหลืองทองที่อ่อนนุ่ม กลมกล่อม พร้อมความหอมละมุนละไมของผลไม้ เพื่อเติมความสดใส บลังโค่ โทโร่ กาแฟคั่วบดรสชาติสมดุลย์ นุ่มนวล หอมหวนชวนหลงไหลในยามเช้า หรือหลังอาหารค่ำและเข้ากันได้เป็นอย่างดีเมื่อดื่มพร้อมกับของหวาน ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้บริโภค
ข้อมูลจำเพาะของกาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee
กาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee ถูกปลูกโดยมีระบบการจัดการด้านนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติ ดังนั้น ระบบนี้จึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีสำหรับปราบวัชพืช รวมไปถึงปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่างๆ ในการเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งยึดหลักการผลิตในแบบ เกษตรอินทรีย์ หรือ Organic Agriculture คือ ระบบการเกษตรที่คำนึงถึงการรักษาความสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีระบบการจัดการด้านนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ และสารเคมีต่างๆ แต่จะเน้นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและของชีวภาพ เนื่องจากดินเป็นที่อาศัยของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำนวนมาก ซึ่งเป็นห่วงโซ่พื้นฐานที่สำคัญของระบบนิเวศวิทยา
ในปัจจุบัน สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agricultural Movements) ถือเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ผลผลิตที่ผ่านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีขั้นตอนการผลิตดังนี้
* พื้นที่เพาะปลูกต้องไม่เคยมีการทำเกษตรเคมีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี
* ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี และ เน้นการใช้สารอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เป็นต้น
* ไม่ใช้สารสังเคราะห์ป้องกันหรือกำจัด สัตว์และแมลงที่เป็นศัตรูพืช
* ไม่ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
* ไม่ใช้ฮอร์โมนกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืช
ทั้งนี้ จุดเด่นของกาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee ประกอบด้วย
* มีการกำหนดมาตรฐานและทำการตรวจสอบทั้งสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษาต้นกาแฟไม่ให้มีการใช้สารเคมีทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารเคมีปนเปื้อนหรือตกค้างมากับกาแฟ
* Organic Coffee จัดอยู่ในกลุ่มสินค้า Premium เนื่องจากผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงแต่มีปริมาณน้อย
* Organic Coffee ได้การรับรองว่ามีรสชาติดีกว่ากาแฟที่ปลูกโดยใช้สารเคมี ขณะที่มีราคาขายใกล้เคียงกัน หรือสูงกว่าเล็กน้อย
ด้านการเพาะปลูกและการดูแลรักษากาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee
* ต้องปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร
* ได้รับน้ำในปริมาณที่พอเพียงจากน้ำฝนที่ตกตามฤดูกาลเฉลี่ย 2,000 มิลลิเมตรต่อปี รวมถึงการได้รับน้ำจากแม่น้ำ ลำธารตามธรรมชาติ
* อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส
* ปลูกโดยการเว้นระยะห่างระหว่างต้นที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ต้นกาแฟแต่ละต้นได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการให้ผลผลิตที่ดี ซึ่งจะจำกัดปริมาณไว้ที่ 400 ต้นต่อพื้นที่ 1 ไร่
* การดูแลรักษาจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมีทุกชนิดแต่จะใช้ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์
* หากเกิดโรคหรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลายจะทำการตัดส่วนนั้นทิ้งแทนการฉีดสารเคมี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
วิภาวริศ เกตุปมา หรือ จาจิญา เพ็งพันธ์ และ วัชลีย์ กันติ๊บ
บริษัท โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โทร. 02-951-9119, 04-155-1987, 06-213-6764 และ 01-890-3568
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net