กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.-- คอร์ แอนด์ พีค
องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาและสวิสเซอร์แลนด์อนุมัติให้ใช้ยาเอ็กซ์เจด (Exjadeโ) ยาขับเหล็กชนิดรับประทานทดแทนการรักษาแบบเดิมในรูปแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนัง จึงนับเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาภาวะเหล็กเกินในผู้ป่วยที่มีปัญหาโลหิตจางเรื้อรัง และต้องได้รับเลือดบ่อยๆ เช่น โรคธาลัสซีเมีย, ซิกเกล เซลล์ อะนีเมีย (Sickle cell anemia) หรือ ไมอีโลดิสพลาสติก ซินโดรม (Myelodysplastic syndrome)
บาเซิล : บริษัท โนวาร์ตีส แจ้งว่า Exjadeโ (deferasirox) ซึ่งเป็นยาขับเหล็กชนิดรับประทานวันละครั้งชนิดเดียวและชนิดแรกที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้โดยองค์การอาหารและยาหรือหน่วยงานคุ้มครองเรื่องยาของประเทศสหรัฐอเมริกาและสวิสเซอร์แลนด์อย่างเป็นเอกฉันท์ สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับเลือดบ่อยๆในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่สองปีขึ้นไป ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกลุ่มประเทศยุโรป รวมทั้งอีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุมัติ
Exjade เป็นยาขับเหล็กชนิดรับประทานรูปแบบเม็ดละลายน้ำ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับยาขับเหล็กชนิดฉีดที่ใช้เป็นมาตรฐานเดิมที่ต้องฉีดเข้าใต้ผิวหนังต่อเนื่องนานกว่า 8-12 ชั่วโมง เป็นเวลา 5-7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่สะดวกและผู้ป่วยหลายรายรู้สึกเบื่อและหลีกเลี่ยงการขับเหล็กด้วยวิธีนี้ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเหล็กเกินซึ่งเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในผู้ป่วยโรคโลหิตจางเรื้อรังที่ต้องได้รับเลือดบ่อยๆ เช่น โรคธาลัสซีเมีย, ซิกเกล เซลล์ อะนีเมีย (Sickle cell anemia) หรือ ไมอีโลดิสพลาสติก ซินโดรม (Myelodysplastic syndrome) โดยภาวะเหล็กเกินนี้อาจพบได้หลังจากการให้เลือดตั้งแต่ 20 ยูนิต และหากปล่อยให้ปริมาณเหล็กเพิ่มมากขึ้น ก็จะส่งผลต่อการเกิดพยาธิสภาพของอวัยวะที่เหล็กไปสะสม เช่น ตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ ซึ่งโดยธรรมชาติร่างกายไม่มีกลไกที่จะขับเหล็กส่วนเกินออก ดังนั้น การให้ยาขับเหล็กจึงเป็นทางเดียวที่จะรักษาภาวะเหล็กเกินจากการได้รับเลือด
David Epstein, CEO of special medicine and president of Novartis Oncology กล่าวว่า Exjadeโ จะเป็นยาขับเหล็กสำคัญที่ผู้ป่วยใช้ได้ง่ายและยอมรับได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้การป้องกันและรักษาพยาธิสภาพจากเหล็กที่เกินได้มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับยาฉีดชนิดเก่าที่ยุ่งยากกว่า
ยาขับเหล็กเป็นสารที่ไปจับกับเหล็กในร่างกายและเนื้อเยื่อในร่างกายและ ขับออกทางปัสสาวะหรืออุจจาระ เพื่อลดปริมาณเหล็กที่เพิ่มขึ้นจากการรับเลือดและป้องกันภาวะเหล็กเกิน ผู้ป่วยบางรายจำเป็นต้องได้ยาขับเหล็กตลอดชีวิต โดยก่อนหน้านี้ ดีเฟอรอกซามีน (desferoxamine) เป็นยาขับเหล็กเพียงตัวเดียวที่ได้ผล แต่เนื่องจากปัญหาในการบริหารยาที่ไม่สะดวกและเป็นภาระต่อผู้ป่วยจึงทำให้มีการใช้ยาขับเหล็กไม่เต็มที่ในผู้ป่วย ดังนั้น Exjadeโ จึงไม่เพียงช่วยลดภาระให้กับผู้ป่วยที่ใช้ยาขับเหล็กอยู่แล้วมีความสะดวกมากขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยที่ไม่สะดวกต่อการฉีดยาได้รับการรักษาด้วยยาขับเหล็กได้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
คุณชนานันท์ คงธนาฤทธิ์
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
บริษัท คอร์ แอนด์ พีค จำกัด
โทร. 0-2439-4600 ต่อ 8204--จบ--