ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกโหด ครึ่งปีหลัง...?

ข่าวอสังหา Friday June 5, 2009 08:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 มิ.ย.--พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น ภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันในภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน ตลอดช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางสมรภูมิสงครามราคาที่บรรดาผู้ประกอบการต่างถาโถมเข้าใส่กัน เพื่อแย่งแชร์ส่วนแบ่งลูกค้าหรือส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่ปริมาณลูกค้าหรือความต้องการสร้างบ้านหดตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กตกอยู่สถานการณ์แข่งขันลำบาก เพราะเสียเปรียบรายใหญ่ทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือและการบริหารต้นทุน โดยเฉพาะเมื่อบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ในกลุ่ม Top 3 เปิดศึกสงครามราคาเข้าใส่กันอย่างดุเดือด หวังชิงความเป็นผู้นำและแชร์ส่วนแบ่งตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เห็นได้จากแคมเปญลดกระหน่ำราคา 15-20% ที่แต่ละค่ายงัดออกมาหวังกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรก สงครามราคากับภาวะตลาดหดตัว เมื่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหันมาเน้นแข่งขันราคาในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งก็ได้ส่งผลกระทบไปถึงภาคผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างด้วยเช่นกัน เพราะเดิมตลาดรับสร้างบ้านชูจุดขายเรื่องคุณภาพและบริการที่แตกต่าง รวมถึงขายนวัตกรรมและความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งถือว่าตลาดรับสร้างบ้านจะแตกต่างจากตลาดบ้านจัดสรรและผู้รับเหมาทั่วไป โดยกลุ่มผู้ผลิตวัสดุและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกมาสู่ตลาด ซึ่งจะเน้นนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนี้ แต่เมื่อตลาดรับสร้างบ้านเปลี่ยนมาแข่งขันราคาต่ำ ทำให้ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างต้องปรับตัวเองเช่นกัน จึงหันมาหาทางลดต้นทุนการผลิตตามแรงกดดันของตลาดรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายใหญ่อาศัยความได้เปรียบ ในฐานะที่มีแชร์ส่วนแบ่งตลาดมากกว่ารายเล็กเปิดฉากเจรจาต่อรองราคา โดยบีบให้ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างลดราคา เพื่อให้ต้นทุนต่ำสุดและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับรายกลาง-รายเล็ก ท่ามกลางการแข่งขันราคาของภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงที่ผ่านมา ย่อมชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มและทิศทางการแข่งขันในครึ่งปีหลังได้อย่างชัดเจน ดังนั้นอาจได้เห็นผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กทนแรงเสียดทานไม่ไหว หรือไม่สามารถยืนหยัดแข่งขันได้ในภาวะตลาดรับสร้างบ้านขาลงเช่นนี้ ซึ่งจำเป็นต้องถอนตัวเองออกไปจากตลาดรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายที่ปรับตัวเองไม่ได้ หรือขาดการพัฒนาสินค้าและบริการ อีกประการที่สำคัญคือผู้ประกอบการส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทผู้ประกอบการ SME ที่ไม่มีเงินทุนมากนัก ดังนั้นเมื่อยอดขายหรือรายได้ลดลงย่อมส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนมีปัญหา และอาจนำไปสู่การผิดสัญญากับลูกค้าหรือผู้บริโภค ปีนี้จึงนับว่าเป็นความเสี่ยงมากกว่าปีที่ผ่านๆมา สำหรับผู้บริโภคที่กำลังจะเลือกใช้บริการสร้างบ้านกับผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง โดยจะต้องพิจารณาหรือตรวจสอบประวัติของผู้ประกอบการให้ดีก่อนตัดสินใจ ชี้อยู่รอดได้ต้องแม่นข้อมูลและเร่งปรับตัว สำหรับผู้ประกอบการที่ยืนหยัดและยังแข่งขันอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลังต่อไป หากจำเป็นจะต้องใช้กลยุทธ์แข่งขันราคาเพื่อชิงแชร์ตลาด ควรพึงระมัดระวังถึงต้นทุนที่อาจปรับตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะแนวโน้มราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนขนส่งและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงตามมา ดังนั้นการตั้งราคาและการจัดโปรโมชั่นลดราคา จึงควรมีการวิเคราะห์และประเมินราคาอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นแล้วอาจประสบปัญหาขาดทุนและดำเนินธุรกิจต่อไปม่ได้ อย่างไรก็ดีพึงตระหนักไว้ด้วยว่าราคาต่ำมิใช่คำตอบสุดท้ายของลูกค้าหรือผู้บริโภคเสมอไป ยังมีปัจจัยอื่นๆและเป็นปัจจัยสำคัญประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน อาทิ พื้นที่ให้บริการ บริการที่มอบให้ แบบบ้านตรงตามต้องการ ความเป็นมืออาชีพของทีมงาน ฯลฯ เป็นต้น สำหรับผู้ประกอบการบางรายที่มีข้อมูลแม่นยำและประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา จะพบว่าช่องทางการตลาดมิได้ตีบตันเสียทีเดียว โดยเฉพาะการรู้จักปรับตัวและมองหาตลาดใหม่ๆ หรือเลือกโฟกัสกลุ่มเป้าหมายและวางตำแหน่งทางการตลาดของตัวเองอย่างชัดเจน การใช้เงินทำการตลาดแบบไม่เหวี่ยงแห และรู้จักนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต การปรับตัวของผู้ประกอบการบางรายดังที่กล่าวข้างต้น ทำให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ไม่มากหรือแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ บางรายยังสามารถโชว์ความเป็นดาวรุ่งสวนทางภาวะตลาดหดตัว ในขณะเดียวกันก็พบว่าหลายรายประสบปัญหาและกลายเป็นดาวโรย สาเหตุสำคัญเกิดจากขาดข้อมูลที่เป็นจริงและประเมินสถานการณ์ผิดพลาด มุมมองต่อภาพรวมการแข่งขันในอนาคต ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดรับสร้างบ้านที่หดตัวในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถและความอ่อนแอของผู้ประกอบการที่แข่งอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านปัจจุบัน แม้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความได้เปรียบรายเล็กรายกลางอยู่มาก หากแต่สามารถกินแชร์ส่วนแบ่งตลาดได้เพียง 15-20% เท่านั้น ในอนาคตถ้ามีผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ในกลุ่มอสังหาฯหรือกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง กระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบันอาจไม่ใช่รายเดิมอีกต่อไปก็เป็นได้ ซึ่งจะเห็นว่ามีผู้ประกอบการอสังหาฯรายหนึ่ง ได้ประกาศตัวชัดเจนแล้วว่าจะขยายเข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านเร็วๆนี้ อีกรายหนึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับบริษัทรับสร้างบ้านระบบพรีแฟบเบอร์ 1 จากญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าคงสนใจตลาดรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน และอีกรายสังเกตว่ากำลังพัฒนาต่อยอดช่องทางการขยายตลาด จากผู้ผลิตวัสดุไปสู่ผู้ให้บริการสร้างบ้านอีกด้วย และในอนาคตเมื่อธุรกิจรับสร้างบ้านถูกยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสร้างบ้าน ด้วยศักยภาพของผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ที่จะเข้ามาปลุกตลาดให้เติบโต ซึ่งคงไม่ใช่แค่เพียงตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่หมายถึงตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ เมื่อนั้นผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน อาจต้องเผชิญกับสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนไปแบบที่เรียกว่า 180 องศา และหากไม่สามารถปรับตัวเองได้ก็อาจหายไปจากตลาดนี้เช่นกัน แนวคิดปั้นแฟรนไชส์รับมือการแข่งขัน นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีการศึกษาสภาพตลาดและการแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านมาอย่างต่อเนื่อง มีการติดตามและประเมินสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอยู่เสมอ พร้อมกับมีการสมมุติสถานการณ์ตลาดและการแข่งขันที่คาดว่าอาจเกิดขึ้น เพื่อจะได้วางแนวทางตั้งรับและรุกอย่างไม่ประมาท โดยจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา พีดี เฮ้าส์ มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการผลักดันภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านให้เติบโต ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลและต่างจังหวัด รวมถึงการปรับตัวเองเพื่อให้สอดคล้องกับการขยายตัวของตลาดรับสร้างบ้าน ทั้งนี้การนำระบบแฟรนไชส์มาต่อยอดและใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด เพื่อจะขยายการธุรกิจให้เติบโตภายใต้คอนเซปต์ ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮาส์ โดยตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี ขยาย 50 สาขาทั่วไทย ซึ่งการที่ตัดสินใจเลือกแฟรนไชส์มาใช้ขยายธุรกิจนั้น เพราะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้บริษัทฯสามารถขยายสาขาได้รวดเร็ว และเป็นวิธีรับมือกับผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ที่จะเข้ามาแข่งขันในอนาคต และจะเป็นการยกระดับผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก ที่เข้ามาร่วมเป็นแฟรนไชส์ให้มีความเข้มแข็งและเป็นมืออาชีพ รวมถึงการสร้างแบรนด์ พีดี เฮ้าส์ ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภคทั่วประเทศ กราฟแสดงสัดส่วนผลสำรวจความต้องการสร้างบ้านปี 2552 ที่มา : ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บ.พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จก. นายพิศาล กล่าวต่อ จากหลักคิดที่ว่าตลาดรับสร้างบ้านไม่ใช่มีแค่กรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น ในส่วนของบริษัทฯเองได้ทำการศึกษาข้อมูลตลาดต่างจังหวัดมาตลอด โดยเมื่อเร็วๆนี้ได้ทำการสำรวจความต้องการสร้างบ้าน Online ของกลุ่มผู้บริโภคและประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่ามีความต้องการสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุดหรือคิดเป็น 49% รองลงมาได้แก่พื้นที่ภาคกลางมีสัดส่วนคิดเป็น 26% อันดับ 3 ได้แก่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลมีสัดส่วนคิดเป็น 14% และสุดท้ายพื้นที่ภาคตะวันออกคิดเป็น 11% (การสำรวจความต้องการสร้างบ้านครั้งนี้ ไม่นับรวมพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้) ผลสำรวจสะท้อนว่ามีความต้องการสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัดอยู่จำนวนมาก ในขณะที่แทบไม่มีผู้ประกอบการมืออาชีพรายใด สนใจและสามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคกลุ่มนี้ ที่ผ่านมามีเพียง พีดี เฮ้าส์ รายเดียวที่มุ่งขยายสาขาต่างจังหวัดอย่างจริงจัง เพราะมองเห็นว่าจะเป็นตลาดใหม่และเป็นตลาดขนาดใหญ่ในอนาคต สำหรับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลัง นายพิศาล มองว่าแชร์ส่วนแบ่งตลาดจะตกเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะด้วยศักยภาพองค์กรและความพร้อมขององค์กรในการปรับตัว เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาวะที่ผู้บริโภคไม่ต้องการเผชิญกับความเสี่ยง...สร้างบ้านไม่ได้บ้าน ดังนั้นจำเป็นที่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลางจะต้องเร่งปรับตัว เพื่อพัฒนาตัวเองสู่ความเป็นมืออาชีพโดยเร็วและเห็นความสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โทร.0-2996-0940-7 คุณฐิติชญา 085-489-4300 / คุณเอมอร 085-489-4288 / คุณมาลี 081-925-7163 Email : warinthorn@pd.co.th , aem-on@pd.co.th , malee@pd.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ