อียูออกนโยบายสินค้าที่ได้รับตรา Fair Trade และตรารับรองคุณภาพอื่นๆ

ข่าวทั่วไป Wednesday June 10, 2009 08:50 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 มิ.ย.--คต. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่าคณะกรรมาธิการยุโรปได้เผยแพร่เอกสารแนวนโยบายเรื่อง “Contributing to Sustainable Development : the role of Fair Trade and non-governmental trade - related sustainability assurance schemes” วิเคราะห์บทบาทของหน่วยงานภาครัฐอียูและผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรฐานการรับประกันคุณภาพสินค้า Fair Trade รวมทั้งตรารับรองคุณภาพ sustainability ของสินค้าแบบอื่นๆ โดยกระตุ้นให้ภาครัฐของอียูคำนึงถึงคุณสมบัติด้าน sustainability ในการ จัดซื้อจัดจ้าง เอกสารดังกล่าวสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 1. ยุโรปเป็นแหล่งที่มียอดขายสินค้าที่ได้รับตรา Fair Trade ประมาณร้อยละ 60-70 ของตลาดโลกโดยรวม ผู้บริโภคยุโรปซื้อสินค้าที่ได้รับตราดังกล่าวประมาณ 1.5 พันล้านยูโรต่อปี 2. ตรารับรองสินค้าโดยภาคเอกชน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ (1) ตรา Fair Trade (2) ตรารับรองผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มุ่งให้ข้อมูลผู้บริโภคเรื่องความยั่งยืน เน้นการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น Rainforest Alliance, Utz Certified และ (3) ตรารับรองผลิตภัณฑ์ที่มุ่งใช้กับกลุ่มสินค้า (industry-wide) เช่น Common Code for the Coffee Community (4C), Ethical Tea Partnership 3. คุณสมบัติสำหรับการประเมินและ/หรือรับประกันความยั่งยืนของสินค้าประกอบด้วย การพัฒนาอย่างยั่งยืน, ด้านเศรษฐกิจ, การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน, ค่าจ้างที่ยุติธรรม, การรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาทางสังคม ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปจะเสนอให้คงลักษณะ non - governmental nature ของ sustainability schemes อื่นๆ ที่คล้ายกันต่อไป โดยภาครัฐสามารถแทรกแซงกระบวนการจัดตั้งมาตรฐานของภาคเอกชน ทบทวนหลักการรับรองคุณภาพสินค้าที่แตกต่างกันหลายแบบของภาคเอกชน และเสนอแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้ใช้คุณสมบัติด้านความยั่งยืนในการพิจารณา และให้ผู้ประมูลสามารถพิสูจน์มาตรฐานด้านความยั่งยืนโดยใช้ตรา Fair Trade หรือการพิสูจน์แนวทางอื่นๆได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมหรือแทรกแซงการออกมาตรฐานของภาคเอกชน แต่เน้นการติดตามพัฒนาการเรื่องการใช้ตรารับรองสินค้า โดยอาจพยายามทำให้การรับรองตราคุณภาพสินค้าแบบต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันสามารถปรับประสานเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิด การแตกแขนงประเภทของการรับรองคุณภาพสินค้ามากเกินไป ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภคได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ