กรุงเทพฯ--12 มิ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ ‘BBB+(tha)’ แก่หุ้นกู้ไม่มีประกัน ประเภทด้อยสิทธิของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวมีมูลค่ารวมไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทและมีอายุ 10 ปี ในขณะที่ SCIB มีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอยู่ที่ ‘A-(tha)’ (A ลบ (tha)) และอันดับเครดิตในประเทศระยะสั้นอยู่ที่ ‘F1(tha)’ โดยแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตของ SCIB สะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจของธนาคารที่ค่อนข้างอ่อนแอ รวมถึงสถานะทางการเงินที่ยังคงไม่แข็งแกร่งนัก ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะได้มีการปรับตัวดีขึ้นแล้วก็ตาม หลังจากที่ธนาคารประกาศผลขาดทุนสุทธิจำนวน 2 พันล้านบาทในปี 2550 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท ในปี 2551 ซึ่งเป็นผลจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาสที่ 1 ปี 2552 ได้อ่อนตัวลง โดยกำไรสุทธิลดลงเหลือ 0.7 พันล้านบาท จาก 1.3 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลงและจากการที่บริษัทลูกของธนาคารมีผลขาดทุนของเงินลงทุนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด (mark-to-market) ระดับสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2552 อยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551 ในขณะที่ SCIB ตั้งเป้าที่จะขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในปี 2552 โดยจะเน้นไปที่การขยายสินเชื่อในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอย่างมาก โดยฟิทช์ประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบ 3.8% ในปี 2552 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายสินเชื่อและผลการดำเนินงานของธนาคารในปี 2552
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ SCIB เพิ่มขึ้นเป็น 24.6 พันล้านบาท (คิดเป็น 8.8% ของสินเชื่อรวม) ณ สิ้นปี 2551 จาก 18.4 พันล้านบาท (หรือ 7.3% ของสินเชื่อรวม) ณ สิ้นปี 2550 ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่สูงขึ้นของธุรกิจบริการ (ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโรงแรม) และอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากการจัดชั้นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในเชิงคุณภาพเพิ่มเติมอีกด้วย คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารยังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 1 ปี 2552 โดยธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 26 พันล้านบาท (คิดเป็น 9.3% ของสินเชื่อรวม) ณ สิ้นมีนาคม 2552 ในขณะที่อัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ SCIB ที่ระดับ 62% ณ สิ้นมีนาคม 2552 จัดว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70% ถึงแม้ว่าธนาคารมีแผนที่จะลดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลงให้อยู่ที่ประมาณ 5.5% ของสินเชื่อรวมภายในสิ้นปี 2552 โดยส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการขายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ธนาคารอาจต้องเผชิญกับคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนตัวลงในปี 2552 เนื่องจากผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่รุนแรง รวมทั้งธนาคารมีความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อในธุรกิจขนาดกลางและย่อม (39% ของสินเชื่อรวม) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (14% ของสินเชื่อรวม) และธุรกิจบริการ (12% ของสินเชื่อรวม) ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งอาจส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารเพิ่มขึ้น
SCIB มีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในระดับที่ค่อนข้างสูงโดยมีเงินลงทุนทั้งหมด 81 พันล้านบาทหรือคิดเป็น 19.2% ของสินทรัพย์รวม ทั้งนี้การลงทุนของธนาคารส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ (61.5%) และตราสารหนี้ในต่างประเทศ (12.6%) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ของภาครัฐและสถาบันการเงิน ระดับเงินกองทุนของธนาคารจัดอยู่ในระดับพอเพียง โดยธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารที่ 9.8% สำหรับเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ ที่ 10.5% สำหรับเงินกองทุนรวม ณ สิ้นมีนาคม 2552 อย่างไรก็ตามระดับเงินกองทุนดังกล่าวอาจลดลงในอนาคตหากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
การเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านเครือข่ายธุรกิจของธนาคาร การบริหารและการควบคุมความเสี่ยง รวมทั้งความชัดเจนในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในระยะยาว และการให้ความสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลัก อาจช่วยเพิ่มอันดับเครดิตของ SCIB ได้ในระยะกลาง
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไทยได้เข้าถือหุ้นใหญ่ใน SCIB หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2540 และในปี 2545 SCIB ได้ควบรวมกับธนาคารศรีนคร โดยปัจจุบันกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไทยถือหุ้น 47.6% ใน SCIB แต่มีแนวโน้มที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงในอนาคต ดังนั้นโอกาสที่ SCIB จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจึงอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก ธนาคารมีพนักงานประมาณ 7,200 คน และมีจำนวนสาขากว่า 400 สาขาทั่วประเทศ มีส่วนแบ่งทางการตลาดด้านสินเชื่อ 4.8% และด้านเงินฝาก 5.6% ธนาคารยังมีบริษัทในเครือซึ่งดำเนินธุรกิจประกัน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจจัดการกองทุน และธุรกิจเช่าซื้อ
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ ‘AAA’ และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น ‘AAA(tha)’ ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
ติดต่อ
พชร ศรายุทธ, กรุงเทพฯ +662 655 4761
Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4759