กรุงเทพฯ--29 มิ.ย.--วีม คอมมูนิเคชั่น
ประเด็นสำคัญในการลงทุนทองคำแท่ง (Gold SPOT)
- ปัจจัยสำคัญด้านพื้นฐาน — ราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มลดช่วงบวกลงมาตามราคาน้ำมันที่ร่วงลง หลังปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมาก + กลุ่มกบฏ 4 กลุ่มในไนจีเรียยอมรับหลักการนิรโทษกรรม แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังช่วยหนุนให้นักลงทุนเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเก็งกำไรมากขึ้นก็ตาม
- กรอบการเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคราคาทองคำแท่ง (Gold SPOT)
Daily
30 Min
- ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะสั้น — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะสั้นเป็นขาลง, MACD 30 นาทีอยู่ในแดนลบทำให้ราคาดูลบอยู่เล็กน้อย, MACDF อยู่ในแดนลบทำให้ราคาดูเป็นขาลง, Fast Stochastic เคลื่อนตัวขึ้นทำให้ดูราคาเป็นบวกอยู่ในช่วงต้นของวัน, RSI 30 นาทีอยู่ที่ระดับ 41.891 ถือเป็นระดับ oversold และราคาควรปรับตัวขึ้น, ทิศทางตลาดระยะสั้นดูเป็นตลาด Sideways-down ระหว่างแนวรับแนวต้านที่ $934-$946 ส่วนค่าเงินบาทในวันนี้อยู่ที่ระดับ ฿33.99-฿34.12
- ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะกลาง - ADX < 20 บ่งบอกว่าตลาดระยะกลางยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, RSI อยู่ที่ระดับ 50.295 ถือเป็นระดับ Neutral และไม่บ่งบอกถึงทิศทางที่ชัดเจน, MACD เคลื่อนตัวอยู่ใกล้ 0 แสดงถึงตลาด Sideways, MACDF อยู่ในแดนลบและทำให้ดูราคาเป็นขาลง ทว่ากำลังเคลื่อนตัวขึ้นและทำให้ทีความเป็นไปได้ที่ราคาจะกลับตัว, Fast Stochastic ระดับวันกำลังเคลื่อนขึ้น และดูได้ว่าราคาอาจปรับตัวขึ้นต่อในช่วงนี้, ทิศทางตลาดระยะกลางยังคงดูเป็นตลาด Sideways โดยจะใช้แนวต้านที่ $960 เป็นต้านระยะกลางที่สำคัญและแนวต้านราคาระยะกลางต่อไปอยู่ที่ $990 ส่วนแนวรับระดับกลางอยู่ที่ $912
ตาราง 3 : แนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ
Source: YLG’s estimations
พิจารณาตารางที่ 3 และกราฟด้านซ้ายมือ พบว่าราคาทองคำแท่งที่ร้านค้าปลีกปิดล่าสุด (เส้นสีแดง = 15,300 บาท) ซึ่งสูงกว่าราคาทองคำแท่ง (SPOT) ในตลาดโลกเช้านี้ (เส้นสีน้ำเงิน = 15,170 หรือที่ $936.20) แสดงถึงราคาทองคำแท่ง ณ. หน้าร้านขายปลีก มีพรีเมี่ยมจากราคาในตลาดโลก อยู่ 130 บาท ขณะที่ราคาของ GFQ09 เมื่อวานนี้ปิดตลาดอยู่ที่ 15,500 บาท จะมีพรีเมี่ยมจากราคาในตลาดโลก อยู่ราว 330 บาท ซึ่งมากกว่าที่ร้านค้าปลีก ดังนั้น การเปิดสถานะขาย (Short) GFQ09 แล้ว ซื้อ (Long) ทองคำแท่งที่ร้านทอง จะทำให้มีส่วนต่างของกำไรที่คาดหวัง อยู่ที่ 330+130 = 200 บาทต่อทองคำแท่ง 1 บาท จึงคุ้มค่ากับค่าคอมมิชชั่น (ประมาณ 120 บาทต่อ 1 บาททอง) ในการหากำไรจากส่วนต่างราคาได้ในวันนี้
ข่าวสารสำคัญเพื่อประกอบการลงทุน
ปัจจัยบวก
- ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ — สหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีรายได้เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 0.5% และสูงกว่าที่คาดกันไว้ที่ 0.4% จากผลของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ขณะที่ดัชนีรายจ่ายก็เพิ่มสูงขึ้น 0.3% เท่ากับที่คาด แต่สูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง -0.1% หมายถึงผู้บริโภคเริ่มใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม การที่รายได้เพิ่มขึ้นมากนั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่กลับใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและเก็บออมมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อดุลบัญชีเดินสะพัดให้ขาดดุลน้อยลงและช่วยหนุนให้นักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น
- ค่าเงินดอลลาร์ — ดอลลาร์อ่อนค่าลง +$0.0073 เมื่อเทียบเงินยูโร มาที่ $1.4058 จากที่ปิด $1.3985 เมื่อวันก่อนหน้า หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาสนับสนุนให้นักลงทุนต้องการเสี่ยงมากขึ้น + ผู้ว่าธนาคารกลางจีนออกมาเรียกร้องให้มีการนำเงินสกุลใหม่ของโลกมาใช้แทนดอลลาร์ในเงินสำรองระหว่างประเทศ ขณะที่เช้านี้ดอลลาร์กลับแข็งค่าขึ้น -$0.0006 มาที่ $1.4052
- ธนาคารกลางสหรัฐ - ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศต่ออายุอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 1 ก.พ.ปี 2010 สำหรับโครงการปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินหลายโครงการ รวมทั้งต่ออายุโครงการสว็อปสกุลเงิน หรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้ โดยเฟดระบุว่า ตลาดการเงินบางแห่งยังคงประสบปัญหาและ "มีแนวโน้มว่าจะถูกกดดันต่อไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่ง"
ปัจจัยลบ
- ค่าเงินบาท — ค่าเงินบาทปิดแข็งค่าขึ้น -6 สต. มาอยู่ที่ 34.04 บาทต่อดอลลาร์ จากที่ปิด 34.10 บาทต่อดอลลาร์เมื่อวันก่อนหน้า ตามการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยเช้านี้เงินบาทเริ่มอ่อนลง +5 สต. มาที่ 34.09 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับสำคัญที่ 33.99 บาทและ 33.95 บาทตามลำดับ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 34.12 บาทและ 34.21 บาท
- ราคาน้ำมัน — ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ส.ค. ร่วงลง -$1.07 มาปิดที่ $69.16 ต่อบาร์เรล หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐบ่งชี้ถึงผู้บริโภคสหรัฐมีแนวโน้มเก็บออมมากขึ้น + ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเติบโต เพียงแต่บ่งชี้ว่าจะไม่แย่กว่าเดิมและการฟื้นตัวมีแนวโน้มจะเป็นไปอย่างเชื่องช้ามากกว่า นอกจากนี้ ยังมีรายงานผลการสำรวจของ Bloomberg ด้วยว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าราคาน้ำมันดิบจะร่วงลงในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า หลังปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมากและราคาก็ขึ้นมามากเกินกว่าพื้นฐานของอุปสงค์ในขณะนี้แล้ว + นักลงทุนลดความกังวลต่อปัญหาในไนจีเรีย หลังจากกลุ่มกบฏ 4 กลุ่มในไนจีเรียยอมรับหลักการนิรโทษกรรมในข้อเสนอของประธานาธิบดีอูมารูยาร์ อาดัวในวันศุกร์ ขณะที่เช้านี้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ส.ค.ร่วงลงอีก -$0.10 มาอยู่ที่ $69.06 ต่อบาร์เรล
- ภาวะเศรษฐกิจจีน — จีนกำลังตรวจสอบการใช้เงินกู้ยืมจากรัฐบาลไปใช้เพื่อการเก็งกำไรมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้การสั่งซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆลดลง ซึ่งจะกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกให้ลดลงด้วย
ปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม
- กองทุนทองคำ — SPDR กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก รายงานการเข้าถือทองคำถึง ณ. 26 มิ.ย.52 ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,125.74 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.41 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36.19 ล้านออนซ์
- ผลกระทบโลกร้อน — โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ราว 6 แห่งในสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะต้องปิดตัวลงในปี 2020 หลังกฎหมายเรื่อง Carbon Credit จะส่งผลให้กำไรของโรงกลั้นลดลงอย่างมาก จนนำไปสู่การลดการลงทุนของบริษัทจุดเจาะน้ำมันและเพิ่มการนำเข้าแทน นอกจากนี้รายจ่ายด้าน Carbon Credit จะยังมีผลให้ราคาค้าปลีกน้ำมันต้องเพิ่มขึ้นราว $0.77 ต่อแกนลอนอีกด้วย
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) — ตลาดรอดูผลการซื้อคืนพันธบัตรอายุที่เหลือไม่เกิน 5 ปี ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีการซื้อคืนราว 6 หมื่นล้านยูโร (8.4 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนหน้า + การประชุมกำหนดดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 2 ก.ค.นี้
ปฏิทินการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ
Source: Bloomberg
หมายเหตุ : ข้อมูลที่นำเสนอในรายงานดังกล่าว นี้เป็นเพียงความคิดเห็นซึ่งนำเสนอโดย บริษัท YLG Bullion International จำกัด โดยบริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบใดๆ จากความเสียหายที่เกิดจากการใช้รายงานหรือข้อความจากรายงานฉบับนี้
ข้อมูลจาก YLG ศูนย์รับซื้อ-ขายทองคำแท่ง มาตรฐาน LBMA 653/14 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ (ปากซอย 9)
แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120 Tel: 0-2287-1155, 0-2677-5520 Fax: 0-2677-5512 www.ylgbullion.com