กรุงเทพฯ--1 ก.ค.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์
เปิดประตูสู่จินตนาการ สู่โลกด้วยนิทานดีๆ ... ริสรวล อร่ามเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด เปิดตัว 12 โครงการ ฉลอง 12 ปี แปลน ฟอร์ คิดส์ ผู้ผลิตหนังสือและสื่อคุณภาพ เพื่อ การพัฒนาศักยภาพและทักษะการเรียนรู้สำหรับเด็กและครอบครัว พร้อมได้รับเกียรติจากท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “มิติใหม่กับการเรียนรู้ของเด็กไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน” และพูดคุยกับ 2 ครอบครัวคนดัง ครอบครัวตุ๊ก-ชนกวนัน วัชรคุณ และครอบครัวปิ๊บ-รวิชญ์ เทิดวงส์ เกี่ยวกับการใช้หนังสือนิทานกับลูกตัวน้อย โดยมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ภายในงานยังได้เปิดตัว 3 แอมบาสเดอร์ขวัญใจเด็กๆ น้านกฮูก, เด็กน้อยมงกุฎ และกุ๋งกิ๋ง ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี องค์ปาฐก ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า “จากหัวข้อ มิติใหม่กับการเรียนรู้ของเด็กไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน นี้ จะขอเสนอเป็น 2 แนวคิด คือ แนวคิดแรก ควรจะเลี้ยงลูกอย่างไร เราต้องรู้ก่อนว่า เด็กๆ และเยาวชนของเราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้จากที่ไหนบ้าง บ้าน ‘อยู่เย็นเป็นสุข’ สอนให้เด็กมีความรู้ และการใช้ชีวิต โรงเรียน ‘แหล่งคุณธรรมความรู้’ สอนทักษะในการทำงาน คือ ความรู้ต่างๆ ที่จะนำไปประกอบอาชีพ โบสถ์-วัด-มัสยิด ‘เผยแพร่ศาสนธรรม’ วิชาชีวิต เรียนรู้ที่จะสร้างสันติภาพ และความสุขให้กับสาธารณะ และชุมชนสีขาว วิถีชีวิตของชุมชน ที่เราเตรียมแต่สิ่งที่ดีๆ ตัวอย่างดีๆ ให้พวกเขาการเรียนรู้ก็คือการศึกษา ซึ่งเราต้องเน้นในเรื่องของการสร้างอุปนิสัยอันงดงาม และการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม อย่างประเทศอังกฤษ เขาจะเน้นให้เด็กสามารถแยกสิ่งดี และสิ่งไม่ดีออกจากกันให้ได้ มีความซื่อสัตย์ รู้จักสำนึกในหน้าที่ รู้จักอดทน ยึดมั่นในกฎเกณฑ์เสมอกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา และมีเมตตาธรรม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เขาจะปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กๆ สำหรับคนไทย เราต้องรู้ว่า เราต้องการปลูกฝังอะไรให้กับเด็กของเรา แล้วจึงเตรียมพร้อมในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เอาสิ่งดีๆ มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเด็กของเรา แนวคิดที่ 2 เราจะนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเลี้ยงลูกดีมั๊ย ก่อนที่เราจะสอนอะไรให้กับลูก ตัวเราต้องรู้ก่อนเช่นกันว่า เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร เศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ ตามหลักกฎเกณฑ์ ตามกฎหมาย ตามหลักศีลธรรม และเศรษฐกิจพอเพียง ยังเป็นภูมิคุ้มกันทั้ง 4 ด้าน วัตถุ, สังคม (การศึกษา), สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม (ความรักชาติ) วัตถุประสงค์ของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็น หลักปฏิบัติสำหรับบุคคล ครอบครัว องค์กร ชุมชน และประเทศ โดยให้ยึดทางสายกลาง เพื่อให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายใน และภายนอก ต้องก้าวทันโลก และเรียนรู้ที่จะก้าวนำโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องเรียนรู้ และรู้จักประยุกต์ เพื่อสอนให้เด็กๆ เข้าใจ ในหลวงท่านเคยเตือนว่า ผู้ใหญ่มีหน้าที่ที่จะ สั่งสอน และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก และเมื่อเด็กโตขึ้น พวกเขาก็ต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป คือ สั่งสอน และ เป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อความยั่งยืน และความผาสุก ผมอยากจะฝากไว้ว่า เด็กและเยาวชน เขาเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ ในครรภ์ ถึงแม้เขาจะยังพูดไม่ได้ แต่พวกเขาเรียนรู้ได้ คุณใส่อะไรให้เขา เขาก็จะบันทึกไว้ ผมจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันใส่ความงาม ความดี ความจริง กันให้เยอะๆ เด็กๆ เขาจะได้มีความงาม ความดี และความจริงติดตัว และเมื่อพวกเขาโตขึ้น เขาจะได้สอนคนรุ่นต่อๆ ไปในสิ่งดีๆ เหล่านี้”
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้รับข้อคิด และเทคนิคดีๆ ในการเลี้ยงลูกจาก 2 ครอบครัวคนดัง ตุ๊ก-ชนกวนัน และ น้องแพรว-แพรวพิชชา วัชรคุณ คุณแม่คนสวย ได้เปิดเผยว่า “พี่บ๊วยเขาจะเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ตอนที่ลูกยังอยู่ในท้อง ทำให้เขาชอบหนังสือ แล้วหนังสือนี่แหละที่ทำให้น้องแพรวเขาคลานได้ เพราะพี่บ๊วยจะใช้หนังสือล่อ เขาก็จะคลานตามหนังสือจนเขาคลานได้คล่อง และหนังสือยังเป็นของเล่นชิ้นแรกๆ ที่เขาจะหยิบจับเสมอ ตุ๊กว่า หนังสือนิทานสมัยนี้ เป็นหนังสือนิทานที่มีคุณภาพ รูปภาพสีสันสดใสดึงดูดเด็กๆ เนื้อหาต่างๆ ก็จะไปด้วยกันกับภาพ เพียงแต่หนังสือนิทานต้องการเสียงของพ่อแม่ที่จะคอยเล่าให้ลูกฟังซ้ำๆ ให้เขาค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากรูปภาพ และเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ จากการอ่านของพ่อแม่ สำหรับตุ๊กหนังสือนิทานยังทำให้น้องแพรวติดตุ๊กมากขึ้น เขาจะชี้ๆ ทำตาโตๆ ให้รู้ว่า เขาอยากให้เราอ่านให้เขาฟัง มันเหมือนเป็นการเสริม ความอบอุ่น ความรักให้กับครอบครัว และเมื่อไรที่เขาได้รับความอบอุ่น และความรักอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็จะเริ่มก้าวออกเดินไปได้อย่างมั่นคง และบางครั้งหนังสือนิทานก็จะเป็นการเล่าด้วยเนื้อเพลง ยิ่งทำให้ลูกผูกพันกับเรามากขึ้นอีกด้วย เราสละเวลาเพียงวันละ 3 — 5 นาทีให้กับลูก ปลูกฝังให้เขารักหนังสือ รักการอ่าน เพราะการอ่านเป็นคลังความรู้ที่ดีที่สุด ทำให้เขามีอนาคตที่ดี และยังช่วยให้เขาพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไปได้อย่างดี”
คุณพ่อรวิชญ์ คุณแม่ดาริกา และน้องพิพ-ธรณ์ธันย์ เทิดวงส์ ครอบครัวที่มีหนังสือนิทานเป็นส่วนหนึ่ง ในการเลี้ยงลูกเหมือนกัน เปิดเผยว่า “ครอบครัวเราค่อนข้างอ่านหนังสือให้เขาฟังบ่อย ปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กๆ พิพเขาก็จะชอบหนังสือตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เด็กๆ เริ่มจากการกรีดหน้าหนังสือ เริ่มให้ความสนใจหนังสือการ์ตูน และตอนนี้เขาก็หันมาสนใจพวกหนังสือป๊อปอัพ อย่างตอนนี้ น้องพิพ 3 ขวบแล้ว เขาเริ่มที่จะเข้าใจพลอตเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น และเริ่มเลือกหนังสือนิทานที่เขาชอบ รู้จักปฎิเสธเล่มที่ไม่สนใจ คุณพ่อก็จะเน้นเรื่องรูปภาพที่สวยงาม ส่งเสริมศิลปะไปพร้อมๆ กัน ส่วนคุณแม่จะอ่านหนังสือ เน้นเป็นคำพูดมากกว่า ถึงเขาจะยังไม่รู้ทุกคำ แต่เขา ก็ได้ฟัง ได้เรียนรู้คำศัพท์จากการอ่าน การฟัง ซึมซับกันไปเรื่อยๆ และหนังสือนิทานที่มีภาษาดีๆ สวยๆ ก็ยังช่วยให้ภาษาเขาดีขึ้น แต่ในบางครั้งการเล่านิทานก็ต้องอาศัยน้ำเสียงในการเล่าเช่นกัน เพื่อจูงใจให้เขาคล้อยตามเรื่องราวต่างๆ เพราะเด็กสมาธิเขาจะค่อนข้างสั้น พ่อแม่จึงต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศให้การอ่านหนังสือ ให้ไม่น่าเบื่อ เขาจะได้สนใจ อย่างนิทานบางเรื่องแพรวก็จะเป็นคนแต่งให้เขาเอง เราอยากจะสอนอะไรลูก เราก็สามารถใส่ลงไปในเนื้อเรื่องของนิทานได้ ตัวละครก็จะซ้ำๆ ตัวเดิมๆ แต่เพิ่มเติมเนื้อหา อาจจะให้เข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เขาพบเจอมาในแต่ละวัน เขาจะได้เรียนรู้ และจำจด ตอนนี้พิพเขาเริ่มที่จะมีจินตนาการบางแล้ว เราอ่านนิทานเรื่องเดิมๆ ให้เขาฟัง เขาก็เริ่มที่จะแต่งเติมเอง เริ่มต่อยอดเนื้อเรื่องแบบที่คิด ถือได้ว่าพัฒนาการที่มาจากการอ่านหนังสือที่ชัดเจน สำหรับหนังสือนิทานในสมัยนี้ จะเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างจากสมัยก่อน ที่จะเป็นการเอานิทานจากต่างประเทศมาแปล ตัวหนังสือเป็นภาษาไทย แต่รูปภาพเป็นรูปภาพของประเทศนั้นๆ แต่สมัยนี้หนังสือนิทานของเรา เราก็ผลิตเอง วาดรูปเอง แต่งเนื้อเรื่องได้เอง ให้เข้ากับเด็กไทยของเรา และคุณภาพหนังสือนิทานของเราก็เทียบเท่ากับของต่างประเทศ ทำให้เด็กสมัยนี้มีโอกาสที่จะเรียนรู้มากขึ้น หนังสือนิทานไม่ใช่แค่หนังสือเล่มหนึ่ง แต่หนังสือนิทานยังช่วยสร้างสมาธิให้กับเด็ก ฝึกการเรียนรู้จากรูปภาพที่มีสีสันสดใส และ ยังทำให้เกิดความผูกพันกันในครอบครัว ช่วยสร้างความอบอุ่น และช่วยให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ได้อีกด้วย”
เพื่อฉลอง 12 ปี แปลน ฟอร์ คิดส์ ได้จัดเตรียม 12 กิจกรรมพิเศษ สำหรับเด็กๆ และครอบครัว ได้แก่ โครงการ My First Book, โครงการจัดอบรมหลักสูตรพัฒนาพ่อแม่ด้วยหนังสือและสื่อ, โครงการพัฒนาศักยภาพครูปฐมวัยเพื่อส่งเสริมพลังการเรียนรู้เด็กในสถานศึกษา, โครงการนิทานคัดสรรของนักอ่านตัวน้อย, โครงการนิทานแสนรักของนักเขียนเอก, โครงการนักเขียนตัวจิ๋วไอเดียแจ๋ว, โครงการคลิปละครนิทานหรรษา, โครงการละครนิทานตระการตา, โครงการแฮปปี้คิดส์ เฟสติวัล, โครงการร้านค้าต้นแบบ และโครงการ เพื่อเด็กด้อยโอกาสในสังคมอย่าง โครงการ 12 ปีสู่การแบ่งปันกับกิจกรรมสร้างรอยยิ้มให้กับเด็ก 12 สถานสงเคราะห์ และโครงการสร้างหนังสือเสียง…สู่ผู้บกพร่องทางการมองเห็น
คำบรรยายภาพ
01 ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
02 ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “มิติใหม่กับการเรียนรู้ของเด็กไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน “ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ในการเลี้ยงดูลูก
03 จากซ้าย 1.ริสรวล อร่ามเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ 2.ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี 3.พิชัย อร่ามเจริญ
04 ริสรวล อร่ามเจริญ กับผลงานสร้างสรรค์เพื่อเด็กๆ
05 แชร์ประสบการณ์การเล่านิทานเพื่อลูกน้อยของ 2 ครอบครัว จากซ้าย 1.แทนคุณ จิตต์อิสระ 2.ตุ๊ก-ชนกวนัน วัชรคุณ 3.ดาริกา เทิดวงส์ 4.รวิชญ์ เทิดวงส์
06 คุณแม่ตุ๊ก-ชนกวนัน วัชรคุณ และ น้องแพรว — แพรวพิชชา วัชรคุณ ถ่ายภาพกับแอมบาสเดอร์
07 ครอบครัวเทิดวงศ์ กับมุมของเล่นเสริมทักษะ จากซ้าย 1.ดาริกา เทิดวงส์ 2.รวิชญ์ เทิดวงส์ 3.น้องพิพ — ธรณ์ธันย์ เทิดวงส์
08 ดร.สิริกร มณีรินทร์ (ที่ 2 จากซ้าย) และ ริสรวล อร่ามเจริญ (ที่ 4 จากซ้าย) ร่วมถ่ายภาพกับ แอมบาสเดอร์แปลน ฟอร์ คิดส์ แสนน่ารัก
สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมดีๆ พัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของลูกรัก ทาง www.planforkids.com หรือ โทร. 0-2575-2559
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์
โทร. 0-2434-8300 / 0-2434-8547 โทร. 0-2575-2559 / 08-1205-5766
คุณสุจินดา, คุณแสงนภา และคุณวิภาวัลย์ คุณชมพู่