แนะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เร่งปรับตัว เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระระยาว หลังตกต่ำสุดขีด

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 3, 2009 14:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ‘สถาบันวิจัยนครหลวงไทย’ ชี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ตกต่ำถึงขีดสุด รอการฟื้นตัว ด้าน ‘นิด้า บิซิเนส สคูล’ เผยดัชนีชี้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยสะท้อนถึงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรม ยานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากดัชนีหลุดต่ำกว่า 100 เป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการจัดทำมา นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) เปิดเผยว่า จากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 “ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ซึ่งได้ผ่านขบวนการอนุมัติของรัฐสภาในเดือน มิ.ย. 2552 นั้น SCRI ประเมินว่า จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2553-2555 ขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยในกรอบ ปีละ 1.0-2.5% แต่อย่างไรก็ตาม ถือได้ว่าจะส่งผลให้ภาพโดยรวมของเสถียรภาพการคลัง จะเริ่มมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย SCRI ประเมินสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 60% ต่อ GDP ภายในช่วงปี 2555 ขณะที่ความเสี่ยงในด้านของสภาพคล่อง จากผลของการออกพันธบัตรรัฐบาลเข้ามาดูดซับสภาพคล่องในตลาด คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนักในช่วงปี 2552 เนื่องจากยังคงเหลือปริมาณเงินในระบบอีกพอสมควร อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินว่าตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป สภาพคล่องในระบบมีความเสี่ยงสูงที่จะตึงตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปัจจัยการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเริ่มส่งผลให้มีความต้องการลงทุนเพิ่มเติมจากทางภาคเอกชนมากขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้วอาจจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระบบการเงิน มีโอกาสสูงที่จะเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปี 2553 เป็นต้นไป นายสุกิจ กล่าวด้วยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกโดยตรง โดยบริษัท จดทะเบียนกลุ่มยานยนต์มีกำไรสุทธิในงวด Q1/52 ลดลงถึง 136% yoy นอกจากนี้ในมุมมองของนักวิเคราะห์แล้วข้อมูลจาก Analyst Consensus ได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2552 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มยานยนต์ลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2552 อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแนวโน้มของการปรับประมาณการแล้วจะเห็นได้ว่าการปรับประมาณการกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มยานยนต์นั้นเริ่มที่จะชะลอลงตั้งแต่เดือน พ.ค.—มิ.ย. 2552 ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในช่วงต่ำสุดของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้และกำลังรอการฟื้นตัว แต่ SCRI ประเมินว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มยานยนต์ช่วง 2H/52 นั้นจะเป็นผลมาจากการกลับมาเดินเครื่องผลิตเพื่อชดเชยปริมาณสำรองที่ลดลงมากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ด้าน ผศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ หัวหน้าโครงการจัดทำดัชนีชี้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA Business School) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้ประกอบการภายในประเทศด้วยกันเอง พบว่าดัชนีมีแนวโน้มลดลงอย่างรุนแรง โดยลดลงจาก 102.70 ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 92.89 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำดัชนีในช่วงปลายปี 2550 เป็นต้นมา ที่ดัชนีมีค่าต่ำกว่า 100 สาเหตุหลักมาจากการหดตัวของกำลังซื้อที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินครั้งรุนแรงที่สุดของสหรัฐฯ ที่ลุกลามจนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก รวมทั้งศักยภาพในการรองรับวิกฤติเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยเองที่ยังมีจุดเปราะบางในหลายด้านด้วยกัน อาทิ การพึ่งพาตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูง เป็นต้น รูปที่ 1 แสดงดัชนีชี้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยนต์ไทย เปรียบเทียบรายไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2551 — ไตรมาส 1 ปี 2552 ที่มา: ศูนย์เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน NIDA Business School ทั้งนี้ หากจำแนกผู้ผลิตชิ้นส่วนออกเป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะการผลิต พบว่า กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน 1st-Tier มีขีดความสามารถสูงสุด รองลงมาคือ กลุ่ม 2nd- Tier และกลุ่ม 3rd- Tier โดยมีค่าดัชนี 93.80, 91.74 และ 88.81 ตามลำดับ ซึ่งจุดแข็งที่ผู้ผลิตทุกกลุ่มมีร่วมกันคือ การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา คุณภาพสินค้า ความมีชื่อเสียงของบริษัท เป็นต้น สำหรับปัจจัยด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ส่งผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เสถียรภาพทางการเมือง นโยบายของรัฐบาล การคอรัปชั่น โดยกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน 3rd- Tier จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ผศ.ดร.ธัชวรรณ กล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอแนะที่ผู้ประกอบการมีต่อภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เร่งรัดโครงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำทั้งในส่วนของวัตถุดิบ แม่พิมพ์ และเครื่องมือเครื่องจักร พัฒนาฐานข้อมูลด้านการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จัดตั้งศูนย์ทดสอบชิ้นส่วน รวมถึงการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบให้สอดคล้องกับนโยบายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ในนาม NIDA BUSINESS SCHOOL) พิภพ ฆ้องวง (ท๊อป) โทร. 02-2487967-8 ต่อ 118 Email address : c_mastermind@hotmail.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ