กรุงเทพฯ--22 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท ตลก
สัญชาติ อเมริกา
อำนวยการสร้าง ซาช่า บารอน โคเฮน (Borat, Ali G)
กำกับ ลาร์รี่ ชาร์ล (Borat, Religulous)
เขียนบท ซาช่า บารอน โคเฮน (Borat, Ali G)
นำแสดง ซาช่า บารอน โคเฮน (Borat, Ali G)
กุสตาฟ แฮมเมอร์สไตน์ (Together)
กำหนดฉาย 30 กรกฎาคม 2552
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
ในปี 2006 ซาช่า บารอน โคเฮน นักแสดงตลกพรสวรรค์ท่วมท้นที่เคยได้รางวัล BAFTA (ออสการ์ของประเทศอังกฤษ) ถึงสองครั้ง ได้นำตัวละครคนหนึ่งในซีรี่ย์ของตัวเองอย่าง โบแร็ท มาขึ้นจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรกที่ชื่อว่า Borat: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan ซึ่งมันก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ช็อคให้กับชาวโลก ทั้ง บารอน โคเฮน และ ลาร์รี่ ชาร์ล ผู้กำกับ/ผู้สมรู้ร่วมคิดได้ถ่ายทำเรื่องนี้แบบกองโจร และมันก็กลายเป็นภาพยนตร์ตลกที่ทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมต่างชื่นชอบ
ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนั้น ก็ทำให้ บารอน โคเฮน ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในสาขาเพลงและตลกจากเวทีการประกวดลูกโลกทองคำ อีกทั้งยังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม นี่คือภาพยนตร์ที่ดังระเบิดระเบ้อ โดยทำรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 260 ล้านเหรียญ และเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์ตลกในศตวรรษนี้
และนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น...
บัดนี้ ทั้งผู้สร้าง, ดารา, นักเขียน และผู้อำนวยการสร้างจาก Borat และ Da Ali G SHow ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า "กล้าที่สุด บ้าที่สุด และเป็นภาพยนตร์ตลกที่เสี่ยงที่สุดเท่าที่เคยจารึกกันมาในประวัติศาสตร์” ใน Bruno บารอน โคเฮน ได้แนะนำให้ผู้ชมได้รู้จักกับอีกตัวละครหนึ่ง ซึ่งมาจากการสร้างสรรค์ของเขาในซีรี่ย์สุดฮิตทาง MTV บรูโน่ คือแฟชั่นนิสต้าเกย์ ที่เป็นพิธีกรรายการโชว์ช่วงหลังเที่ยงคืนในประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน... นอกจากประเทศเยอรมัน
แล้วจุดมุ่งหมายของ บรูโน่ หน่ะเหรอ? นั้นก็คือการเป็นเซเลบฯจากออสเตรียต่อจาก ฮิตเลอร์
แล้วแผนของเขาหน่ะเหรอ? ก็คือการเดินทางข้ามทวีป มายังดินแดนแห่งโอกาสเพื่อตามหาชื่อเสียงและรักแท้นั้นเอง
บารอน โคเฮน และ ชาร์ล ได้กลับไปร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้างเดิม ที่พวกเขาทำให้เรื่องที่แล้วประสบความสำเร็จกันมา เจย์ โรส (Borat, Meet the Fockers) และ แดน มาเซอร์ (Da Ali G Show, Borat) โดยยังมีทีมงานอย่างผู้กำกับภาพ แอนโธนี่ ฮาร์ควิค (Borat, television’s Trust Me), ผู้ออกแบบงานสร้าง เดนนิส ฮัดสัน (Accepted, และ The Perfect Game), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจสัน อัลเพอร์ (Da Ali G Show, Borat) และผู้ดูแลเพลงประกอบ ริชาร์ด เฮนเดอร์สัน (Borat, Religulous)
เบื้องหลังความเพี้ยน
และแล้วเราก็หลอกสำเร็จอีกครั้ง...
...การถ่ายทำภาพยนตร์ตลกสุดขั้ว
เหมือนกับการผจญภัยของ โบแร็ท นักข่าวจากคาซัคสถาน นี่คือภาพยนตร์ที่จะเฝ้าติดตามแฟชั่นนิสต้าชื่อดังชาวออสเตรีย (ผู้มีรายการโชว์เป็นของตัวเองชื่อ Funkyzeit Mit Bruno) ซึ่งก่อนที่จะเริ่มการสร้างนั้น ทีมงานก็ตั้งได้คำถามขึ้นมาว่า "พวกเราจะหลอกคนอื่นสำเร็จอีกครั้งไหม"
ปรากฏว่ามันยังเป็นไปได้ ถ้าพวกเขาสามารถรักษาตัวเองไม่ให้เข้าคุกเข้าตาราง ก่อนที่หนังจะปิดกล้อง
ถ้าผู้กำกับ ลาร์รี่ ชาร์ล และผู้อำนวยการสร้าง ซาช่า บารอน โคเฮน, แดน มาเซอร์, เจย์ โรส และ โมนิก้า เลวินสัน ได้จดจำอะไรมาจากประสบการณ์การสร้าง Borat พวกเขาก็คงเรียนรู้จากกฏเหล็กข้อที่ว่า "รู้และเชื่อฟังกฏหมาย และควรมีทางหนีทีไล่เสมอ" พวกเขารู้ดีว่าถ้า บารอน โคเฮน ถูกจับหรือได้รับบาดเจ็บ การสร้างนี้ก็จะต้องหยุดชะงักและอาจจะต้องล่าช้าออกไปเป็นอาทิตย์ ดังนั้นมันจึงต้องมีการวางแผนทุกขึ้นตอน รวมถึงการทำให้ทุกอย่างอยู่ในแผนอย่างเคร่งครัดอีกด้วย
แต่ถ้ามันราบรื่นก็คงไม่ใช่การสร้าง Bruno แน่นอน
การถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกกำหนดตามตาราง โดยทีมงานได้คาดเดาไว้คร่าวๆว่าพวกเขาน่าจะเจอกับอะไรบ้าง โดยแต่ละวันก่อนเริ่มต้นการถ่ายทำ ทีมงานก็จะต้องตัดสินใจว่าพรุ่งนี้พวกเขาควรเล็งเป้าไปที่ใคร พวกเขาต้องทำงานตารางของดาราจำเป็น และต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายให้เร็วและคล่อง เพราะพวกเขาต้องรีบย้ายหนี เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังฝ่าฝืนกฏหมายอยู่
แม้มีความกดดันในการสร้างหนังตลกสุดบ้าที่เคยทำไว้กับ Borat แต่ทีมงานก็ได้สร้างให้มันบ้ายิ่งกว่าที่เคยทำเอาไว้ซะอีก พวกเขาต้องเจอกับปัญหากับตำรวจมากกว่าเดิม พวกเขาได้รับโทรศัพท์จาก FBI ที่ขู่ว่าจะควบคุมตัว บรูโน่ ไปสอบสวน รวมถึงการเผชิญหน้ากับประชาชนผู้โกรธแค้น ที่มีอาวุธครบมือและไม่ยอมหลีกทางให้
ตั้งแต่ที่ฉากที่สำคัญอย่างเช่น การถูกโยนออกจากงานแฟชั่นวีค, การพูดถึงหัวข้อชวนช็อคกับประชาชนตาดำๆ และการสัมภาษณ์เซเลบฯที่เปลี่ยนเป็นการทำให้พวกเขาขายหน้า โดย บารอน โคเฮน และทีมงานเขียนบทได้ค้นคว้าข้อมูล และเริ่มไปหาสถานที่ที่พวกเขาควรไปและผู้คนที่พวกเขาควรเจอ
ด้วยการเดินทางในขบวนคาราวาน 5 คัน (ประกอบไปด้วย รถแวน 3 คัน รถมินิแวนไว้หลบหนี 1 คัน และรถอาร์วีหนึ่งคัน ที่ใช้ในการเตรียมการและเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย) ทั้งนักแสดงและทีมงานได้ท่องไปทั้งทวีปอเมริกา, ยุโรป และตะวันออกกลาง ได้ไปทั้งเมือง ลอสแองเจลิส, นิวยอร์ค, วอชิงตัน ดีซี, แคนซัส, อาลาบาม่า และอาร์คันซอว์ ในอเมริกา จนถึงเมืองอย่าง ลอนดอน, ปารีส และมิลาน ในทวีปยุโรป รวมถึงจอร์แดนและอิสราเอลในตะวันออกกลาง พวกเขามีตารางการเดินทางอันน่าเหลือเชื่อ
เปลื้องผ้าค้นตัว...
...บทเรียนของการบุกแฟชั่นวีค
ในขณะที่ บารอน โคเฮน และผู้สมรู้ร่วมคิดได้อุปโลกน์ให้ บรูโน่ เป็นหนึ่งในทีมข่าวที่ไปทำข่าวงานแฟชั่นวีคที่ยุโรป พวกเขาก็ได้ศึกษาข้อมูลของแฟชั่นโชว์ต่างๆ ที่เขาสามารถเข้าไปถ่ายทำตามตารางการถ่ายทำ โดยที่ไม่อยากเสี่ยงด้วยการถ่ายทำเพียงเมืองเดียว พวกเขาก็ได้ไปงานแฟชั่นวีคทั้งที่นิวยอร์ค, ปารีส และมิลาน
ทีมงานได้ไปถึงมิลานแฟชั่นวีคในช่วงปลายเดือนกันยายนปี 2008 พวกเขามีไอเดียถึงสิ่งที่ บรูโน่ จะต้องแต่งตัวในชุดสูทที่ทำด้วยตีนตุ๊กแกทั้งชุด ในที่สุด บารอน โคเฮน ก็ก้าวออกจากรถเดินเข้าไปในแฟชั่นวีค แต่ความพยายามครั้งแรกก็ต้องล้มเหลว เมื่อยามรักษาการณ์จำหน้าเขาได้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โยนทีมงาน Bruno ออกจากแฟชั่นโชว์ และตั้งข้อหาเขาว่าบุกรุกสถานที่ส่วนตัว
บารอน โคเฮน ยังถูกหมายหัวจากมิลานแฟชั่นวีค โดยทางองค์กรแฟชั่นแห่งประเทศอิตาลีก็ได้ออกจดหมายถึงดีไซน์เนอร์ทุกคนว่า ให้ระวังชายที่ชื่อ บรูโน่ เข้ามาในงานแฟชั่นโชว์ของพวกเขาโดยไม่ได้รับเชิญ ซึ่งถ้าพวกเขาถ้าเจอก็ให้ปฏิเสธไม่ให้เขาและทีมงานเข้างานโดยทันที โดยประกาศนี้ได้ถูกเผยแพร่ทั้งทางทีวี, วิทยุและอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้บารอน โคเฮน กลายเป็นเหมือนผู้ต้องหาหลบหนีคดี โดยตำรวจมิลานก็ยังได้รับคำสั่งว่า ถ้าเห็น บารอน โคเฮน เมื่อไรก็สามารถจับกุมได้ทันที
แม้แผนการของเขาดูจะยากลำบากมากขึ้น แต่ทีมงานก็ไม่ได้ยอมยกธงขาวอย่างแน่นอน โดย บารอน โคเฮน ได้เกิดไอเดียว่าพวกเขาทุกคนต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก โดยผู้กำกับ ชาร์ล ได้เปลี่ยนทรงผมโกนหนวดโกนเคราออกหมด ในขณะเดียวกันผู้อำนวยการสร้าง มาเซอร์ ก็ได้ตัดผม รวมถึงทีมงานคนอื่นๆที่เครื่องแต่งกายทุกชุดทุกชิ้นของพวกเขาก็ถูกเปลี่ยนใหม่หมด
ในที่สุด ทีมงานก็ได้เปลี่ยนร่างกลายเป็นแฟชั่นนิสต้าเหมือนกับสภาพแวดล้อม นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะถ่ายฉากชุดตีนตุ๊กแกที่พวกเขาคิดไว้ให้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่สิ่งที่ยืนอยู่ระหว่างพวกเขาและฉากก็คือตำรวจ และการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากกว่าเดิม ที่คอยตรวจตราจับตัว บรูโน่ อยู่นั้นเอง
ช่วงเวลาเพียงแค่ 30 นาทื ก่อนที่งานแฟชั่นโชว์ของดีไซน์เนอร์ อกาธา หลุยส์ เดอ ลา ปราด้า ผู้ที่สร้างชีวิตให้กับ บรูโน่ รู้ว่าเขาควรต้องทำยังไงกับโอกาสทองนี้ ทีมงานก็สร้างตัวตนที่น่าเชื่อถือใหม่ของเขา บรูโน่ ไม่ใช่พิธีกรของรายการ Funkyzeit Mit Bruno อีกต่อไป แต่เขาพรางตัวมาในรูปลักษณ์ของช่างภาพชาวอิตาเลียนที่มีเสื้อผ้าเก๋ไก๋
บารอน โคเฮน ได้เข้าไปกับ ไฮนส์ ช่างแต่งหน้าและผู้ร่วมเขียนบทในงานแฟชั่นโชว์ เขาได้เจอมุมเหมาะที่เปิดโอกาสให้เขาได้เปลี่ยนชุดกลายเป็น บรูโน่ เขาพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเมื่อเขาห่างจากยามรักษาความปลอดภัยเพียงไม่กี่นิ้ว นักแสดงผู้นี้รู้ว่าถ้าเขาถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ ก็อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาในการได้ทำแบบนี้ และสิ่งที่พวกเขาได้วางแผนกันไว้ก็จะต้องพังพินาศ อย่างไรก็ตามก่อนที่โชว์จะเริ่ม เขาก็คว้าโอกาสทองและพุ่งตัวออกจากที่หลบซ่อนขึ้นไปในรันเวย์ บารอน โคเฮน เดินวิ่งผ่านเหล่านางแบบที่กำลังยืนตะลึง และในที่สุดเขาก็ถูกรวบโดยยามรักษาความปลอดภัย
ทีมงานสร้างรู้สึกปลื้มปิติเมื่อเห็น บารอน โคเฮน ในคราบของ บรูโน่ ที่กำลังใส่ชุดตีนตุ๊กแกลื่นล้มบนรันเวย์ ผู้ชมต่างส่งเสียงโห่อื้ออึงในขณะที่กล้องก็กำลังถ่ายไป จนเมื่อทีมงานได้ภาพตามที่ต้องการแล้ว ทางทีมรักษาความปลอดภัยก็จัดการปิดไฟและลาก บารอน โคเฮน ลงจากรันเวย์ ตำรวจใส่กุญแจมือเขาและพาตัวเขาไปขังในคุก ในขณะที่ทีมงานคนอื่นๆก็กำลังใล่ตามเขา ถึงแม้ว่าเขาจะแก้ตัวว่าตัวเองทำผิดพลาดโดยสุจริต แต่ บารอน โคเฮน ก็ถูกเปลื้องผ้าค้นตัว และถูกสอบปากคำโดยตำรวจถึงเจ็ดนาย
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สะทกสะท้าย เพราะทีมงานได้มุ่งหน้าไปในการผจญภัยครั้งต่อไป โดยไม่ถึงวันหลังจากที่ บารอน โคเฮน ต้องผ่านการตรวจตราร่างกายแบบหมดจด เขาเอ่ยขึ้นมาว่า "พวกเขาจะไปแฟชั่นวีคที่ปารีสอาทิตย์หน้าต่อกันเลยไหม" ทีมงานคนอื่นๆก็ต่างตอบว่า "ได้เลย... มุ่งหน้าสู่ปารีส" พวกเขาถ่ายทำกันภายในสองวันในเดือนตุลาคม และได้ที่นั่งดีในการแฟชั่นโชว์ของ สเตล่า แม็คคาร์นี่ย์ และ Jean-Charles de Castelbajac ซึ่ง บรูโน่ เองก็ได้ใส่ชุดที่เวิ่นเว้ออีกครั้ง
พวกเขายังได้ไปถ่ายทำกันในไนท์คลับที่เบอร์ลิน ซึ่งเป็นฉากที่ บรูโน่ บอกลาโลกแห่งแฟชั่น โดยในระหว่างค่ำคืนอันแสนบ้าคลั่ง บรูโน่ ก็ได้แอบเข้าไปในบู๊ทของดีเจ ปิดเพลงที่กำลังแผดเสียงอยู่ และได้มอบสุนทรพจน์ความยาวกว่า 10 นาทีให้กับนักเที่ยวที่กำลังยืนงงอยู่
ตามคำบอกเล่าของแฟชั่นนิสต้าเสียสติคนนี้ เขาบอกผู้ฟังว่าสุนทรพจน์นี้ "สำคัญที่สุดนับตั้งแต่คำสุนทรพจน์ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์” คงจะไม่ต้องเดาให้มากความ เมื่อนักเที่ยวที่ถวิลหาเสียงดนตรีต่างรู้สึกไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อดนตรีของพวกเขาถูกปิดลง และเริ่มด่าทอใส่คนแปลกหน้าที่จู่ๆมาพล่ามอะไรให้ฟัง ในที่สุดยามรักษาความปลอดภัยของคลับก็มาโยน บรูโน่ ออกไป ในขณะที่พวกคนเมาที่ไม่พอใจก็เริ่มที่จะทำร้ายร่างกาย บรูโน่ โดยพวกเขาก็ยังได้อัดนักแสดงเข้าที่คอ ในขณะที่อีกคนก็ฉีกเสื้อผ้าเขา
และนี่เป็นเพียงบทเรียนแรกของ บรูโน่
ตามหา ลุทส์ !
ในขณะที่ทีมผู้เขียนบทได้วาดแผนที่การเดินทางของ บรูโน่ พวกเขาก็รู้ว่ามันต้องมีคู่หูที่ บรูโน่ จะเดินทางไปรอบโลกด้วยกัน ในการคัดเลือกนักแสดงมารับเป็น ลุทส์ ผู้ช่วยที่แอบหลงนักเจ้านายของเขาแบบหมดหัวใจ ทีมงานก็ได้เริ่มค้นหาอย่างจริงจัง โดยเปิดการแคสติ้งตั้งแต่ในอเมริกา, เยอรมัน, ลอนดอน และที่อื่นๆอีกมากมาย โดย ลุทส์ จะต้องเป็นคนที่เกื้อหนุน บรูโน่ และโอนอ่อนตามไอเดียบ้าๆของเขา เช่นการสั่งเด็กทารกมาจากแอฟริกา หรือการพยายามทำตัวเป็นชายทั้งแท่ง ซึ่ง ลุทส์ เองก็ยอมทำตาม เพียงเพราะเขาหลงรัก บรูโน่ แบบทุ่มหัวใจนั้นเอง
ผู้อำนวยการสร้าง แดน มาเซอร์ จำนักแสดงคนหนึ่งได้จากภาพยนตร์เรื่องโปรดของเขา ซึ่งเป็นหนังตลกสัญชาติสวีเดนของผู้กำกับ ลูคัส มูดี้สัน ที่ชื่อ Together เขารู้สึกหลงไหลในการแสดงของ กุสตาฟ แฮมเมอร์สไตน์ และยืนยันที่จะนำตัวของนักแสดงคนนี้มาลองทดสอบบท โดยเมื่อเขาเข้ามาอ่านบท ทีมงานก็รู้แล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เจอกับ ลุทส์ แล้ว
แฮมเมอร์สไตน์ เองก็ต้องเสี่ยงมากมายระหว่างการถ่ายทำ และยังเป็นผู้ถูกกระทำมากมายในเรื่อง ทั้งการถูก บรูโน่ ใส่กุญแจมือติดกันพาเดินไปรอบห้างและโรงแรม รวมถึงการต้องแลกน้ำลายกับ บารอน เฮน ในกรงเหล็ก โดยนักแสดงคนนี้มีทั้งความกล้าและความยืดหยุ่น และก็เหมือนกับ บารอน โคเฮน เพราะ แฮมเมอร์สไตน์ เองก็ได้เรียนภาษาเยอรมันมา และสามารถใช้ภาษาเยอรมันพูดคุยกับ บรูโน่ ในภาพยนตร์เรื่องนี้
กระโดดจากหลังคาสู่อิสรภาพ...
...ความดังมักมาพร้อมความเจ็บปวด
จุดมุ่งหมายของ บรูโน่ คือการเป็นคนดังระดับกาแล็กซี่ โดยเขาต้องหาประเด็นในการสัมภาษณ์ที่แปลกประหลาด และมันมีอะไรที่ดึงดูดความสนใจกับผู้คนได้ดีกว่าการสัมภาษณ์เซเล็บฯชื่อดัง ตั้งแต่ พอลล่า อับดุล และ ลาโทย่า แจ็คสัน จนถึง บริทนี่ย์ กัสติโนว์ และ รอน พอล โดย บารอน โคเฮน ได้จัดการสัมภาษณ์ทั้ง นักร้อง, เรียลลิตี้ สตาร์, นักการเมือง และทำอะไรบางอย่างบนกล้องที่มากกว่าที่คนดูจะคาดถึง
หนึ่งในการทดลองที่บ้าที่สุด ก็คือการใช้ "เก้าอี้ที่ทำมาจากชาวเม็กซิกัน" โดยทีมงานได้จัดฉากที่น่าเหลือเชื่อครั้งนี้ โดยให้ บรูโน่ รู้สึกตัวว่าเขาไม่มีเฟอร์นิเจอร์ที่จะใช้นั่งในการสัมภาษณ์ เขาจึงเรียกช่างตัดหญ้าชาวเม็กซิกันเข้ามาเป็นเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งโดยปกติแล้วทีมงานไม่คิดว่าจะมีใครคนไหน ที่จะกล้านั่งบนหลังของผู้ชายเหล่านั้น (ซึ่งก็เป็นนักแสดงและสตันท์) แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อทุกคนต่างนั่งลงบนหลังชาวเม็กซิกันเหล่านั้นเฉยเลย !
อย่างเช่น นักร้องและหนึ่งในคณะกรรมการของอเมริกัน ไอด้อล พอลล่า อับดุล ตกลงที่จะให้สัมภาษณ์ และนั่งลงบนหลังคนแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซึ่งผู้กำกับ ชาร์ล ก็ตั้งข้อสังเกตุที่น่าสนใจว่า เขาเชื่อว่านี้มันเกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องการให้อีโก้ของเรา ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกบ้างเป็นบางครั้ง แม้ว่าจะต้องทำเรื่องที่น่ารังเกียจแค่ไหนก็ตาม
เขายังตั้งข้อสังเกตุอีกว่า ไม่ว่ามนุษย์หน้าไหนก็อยากจะถูกสัมภาษณ์แทบทั้งนั้น พวกเขาเชื่อว่ามันคือส่วนหนึ่งในการช่วยโปรโมตผลงานและตัวเอง และมันก็ไม่มีเหตุผลสำหรับตัวเองหรือทีมงานพีอาร์ ที่จะต้องสนใจให้มากมายถึงรายละเอียดปลีกย่อย
ในขณะที่ทีมงานสัมภาษณ์ พอลล่า อับดุล กันในลอสแองเจลิส ทีมงานอีกส่วนหนึ่งก็ได้ใช้เวลากันในวอชิงตัน ดีซี เพื่อที่จะได้เข้าไปสัมภาษณ์ รอน พอล ผู้ซึ่งในขณะนั้นกำลังลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่พอดี
นี้เป็นแผนที่สุ่มเสี่ยงมากสำหรับทีมงาน พวกเขาต้องรับมือกับตำรวจลับ ยังไม่รวมถึงกองหทารที่ทำงานร่วมกับ พอล ซึ่งเมื่อการสัมภาษณ์ครั้งนี้จบลง (โดยที่วุฒิสมาชิกวิ่งหนีออกไปจากห้องสัมภาษณ์) บารอน โคเฮน ก็ได้จัดแผนว่าเหมือนถูกหิ้วตัวไปในรถตำรวจปลอม และมุ่งหน้าไปยังสนามบินเพื่อกลับนิวยอร์คทันที
แต่ในที่สุด บารอน เฮน ก็เจอกรรมตามทัน เมื่อเขาไม่สามารถขึ้นเครื่องได้เนื่องจากตัวเองเป็นหวัด โดยทีมงานต้องยกเลิกแผนการถ่ายทำไปกว่า 2 วัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่หายดีเต็มที่ เขาก็แข็งแรงพอที่จะถ่ายทำฉากเก้าอี้ชาวเม็กซิกัน ก่อนที่จะบินไปยังแคนซัส เพื่อถ่ายทำฉากที่เขาขึงพืดตัวเองติดกับ กุสตาฟ และเดินไปตามโรงแรมและห้างกลางวันแสกๆ
ในขณะที่ฉากในห้องที่โรงแรมที่ บารอน โคเฮน และ แฮมเมอร์สไตน์ มัดตัวติดกันอยู่บนเตียง ตำรวจที่ได้รับการแจ้งจากประชาชนผู้หวังดีก็เดินทางมาถึงล็อบบี้ ชายทั้งสองจึงรีบหนีมาทางบันไดหนีไฟ แต่พวกเขาก็พบว่าบันไดนี้มาถึงแค่ชั้นสองเท่านั้น... พวกเขาติดกับเสียแล้ว
มันเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องเลือก ระหว่างเผชิญหน้ากับตำรวจ ซึ่งก็จะทำให้พวกเขาถูกจับและถูกสังตัวกลับไปยังยุโรป หรือจะกระโดกจากความสูง 15 ฟุตเพื่ออิสรภาพ ซึ่งทั้งคู่ตัดสินใจกระโดดพร้อมกัน และขึ้นรถที่ใช้ในการหลบหนี
บารอน โคเฮน ได้รับบทเรียนครั้งนี้ด้วยการที่เขาทำกระดูกข้อเท้าของตัวเองแตก
ผู้ก่อการร้ายและพวกหัวรุนแรง...
...การเผชิญหน้าแบบถึงต้นตอ
ในขณะที่ผู้กำกับ ลาร์รี่ ชาร์ล และทีมงานคนอื่นๆต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความแปลกใจ เมื่อพวกเขาได้ร่วมงานกับความไวของ ซาช่า บารอน โคเฮน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อม นั้นก็คือการที่นักแสดงคนนี้จะใช้ตัวละครอย่าง บรูโน่ ในการเจรจาเพื่อสันติภาพในตะวันออกกลาง
ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นทำตามแผน ทีมงานก็ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องปัญหาในตะวันออกกลาง ที่เรียนรู้ว่าเส้นแบ่งไหนที่พวกเขาไม่ควรก้าวข้าม พวกเขาได้รับความช่วยเหลือโดยผู้ให้คำแนะนำจาก ปาเลสไตน์, จอร์แดน และอิสราเอล เพื่อให้เข้าใจในเรื่องกฏในการประพฤติตัว แต่ไม่ว่าทีมงานจะทำตามกฏเหล่านั้นไหม... นั้นก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พื้นที่ในแถบนี้เป็นอันตรายต่อชีวิตของทีมงาน หลังจากที่ได้รับคำตกลงจากอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เข้ามาสัมภาษณ์ที่บ้านของเขาเป็นเวลา 90 นาที บารอน โคเฮน ยังต้องการพบกับสมาชิกของราชวงค์จอร์แดนอีกด้วย ซึ่งนอกจากที่พวกเขาต้องติดต่อกับตำรวจลับและนักการเมือง บรูโน่ ยังมุ่งหน้าไปยังเขตเวสแบงค์ ที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของกองกำลังแห่งอิสราเอล ซึ่งถ้าเกิดอันตรายกับพวกเขาก็จะไม่มีความช่วยเหลือใดๆจากกองทหาร
เป็นที่น่าแปลกใจว่า หัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ชื่อว่า อัล ควาซ่า มาส ตกลงที่จะพบกับทีมงาน ซึ่งในที่สุดหัวหน้าของหน่วยงานระเบิดพลีชีพก็ได้นั่งให้ บรูโน่ สัมภาษณ์ ซึ่งในขณะให้สัมภาษณ์ พวกเขาก็ถูกล้อมรอบโดยกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่รู้สึกหัวเสียมากขึ้นเรื่อยๆกับคำถามของเขา
ทั้ง บารอน โคเฮน และ ชาร์ล เดินทางมาถึงในเขตเวสแบงค์ พวกเขาก็ได้รับการเตือนว่ามีหน่วยสืบราชการลับปาเลสไตน์จะคอยจับตาดูพวกเขาทุกฝีก้าว เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทีมงานก็ได้ฟุตเตจที่ต้องการอย่างรอดเร็ว และรีบบึ่งเข้ามายังเขตพื้นที่ที่ได้รับความคุ้มครองทันที
การเป็นผู้ปกครองที่ปราศจากความเมตตา
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั่วโลกสนใจในชีวิตของเซเล็บฯก็คือ การแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น ทีมงานได้คิดถึงเหตุการณ์ที่ บรูโน่ พยายามจะแสดงตัวให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนรักครอบครัว เป็นพ่อที่เอ็นดูเด็กตามที่เขาจินตนาการในหัว ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นเหมือนพวกดาราในสังคมเมืองใหญ่
ในที่สุด บรูโน่ ก็รับอุปการะเด็กมาเลี้ยงดู ซึ่งอะไรดูเป็นแม่พระมากไปกว่า การนำเด็กชาวแอฟริกันจากหมู่บ้านเล็กๆอันไกลโพ้น มารับเลี้ยงมาอยู่ในครอบครัวอันบูดเบี้ยวของตัวเอง ถ้าแบรดกับแองเจลิน่ามี หรือมาดอนน่าเองก็มีแล้ว ทำไมบรูโน่จะมีบ้างไม่ได้ล่ะ
บรูโน่ ทำลูกเลี้ยงของเขาเหมือนเครื่องประดับ เขาพาลูกตัวน้อยของเขาไปทุกหนทุกแห่งที่ไป แน่นอนที่ผู้ปกครองของเด็ก และนักสังคมสงเคราะห์ จะต้องมีส่วนร่วมในการเตรียมงานครั้งนี้ โดยพวกเขาจะช่วยมอบความช่วยเหลือต่างๆ ในทุกขั้นตอนของการสร้างภาพยนตร์
อย่างไรก็ตาม ในจากที่สนามบินที่ ดัลลัส-ฟอร์ทเวิร์ท ในขณะที่ผู้กำกับ ลาร์รี่ ชาร์ล กำลังเตรียมพร้อมจับภาพ บรูโน่ และปฏิกริยาของประชาชน ที่ บรูโน่ และผู้ช่วยของเขาแกล้งหยิบทารกออกมาจากรางรับกระเป๋า ซึ่งนำเข้าสดๆร้อนๆโดยตรงมาจากแอฟริกาที่เพิ่งไปเที่ยวมา และเด็กคนนี้ก็เป็นของที่ระลึกที่มีค่าที่สุดที่เขาซื้อติดตัวกลับมา
ใส่กระสุนพร้อมยิง...
...ตามล่า บรูโน่ !
เมื่อเขาเริ่มฉายซีรี่ย์ของตัวเองเรื่อง Da Ali G Show เมื่อหลายปีก่อน ซาช่า บารอน โคเฮน ก็เชื่อว่า เขาจะต้องใช้ความสามารถในการดั้นสดที่มีอยู่ของเขา ในการชักจูกให้ดาราจำเป็นตกหลุมพราง และเออออไปตามทางที่เขาวางเอาไว้ แต่ทุกอย่างก็พิสูจน์ว่า มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เขาพบว่าเมื่อผู้ถูกสัมภาษณ์มีกล้องจ่อหน้า ปฎิกริยาตอบสนองของพวกเขาก็จะเป็นอะไรที่ใสซื่อบริสุทธิ์มาก ผู้คนจะไม่พูดหรือทำอะไรที่พวกเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
ในขณะเดียวกัน ผู้กำกับ ชาร์ล และผู้อำนวยการสร้างก็รู้สึกสนใจเมื่อค้นพบว่า ความโกรธที่มาจากการเป็นพวกรักร่วมเพศของ บรูโน่ เช่นการจูบกันของผู้ชายสองคน ก็อาจทำให้คนบางคนรู้สึกโกรธแค้นอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งปฎิกริยาของพวกเขาก็ถูกจับเอาไว้ในกล้องหมดแล้ว ซึ่งบางครั้งคนเหล่านั้นก็อาจถึงจุดที่เข้ามาทำร้างร่างกายของ บารอน โคเฮน เลยทีเดียว
เช่นฉากที่เขาต้องไปออกเดินป่ากับนักล่าสัตว์สี่คนในอลาบาม่า โดยพวกเขาตกลงที่จะพานักข่าวต่างประเทศไปด้วยในขณะที่ออกล่าสัตว์ แต่พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะไม่วางปืนไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม โดยทีมงานก็พยายามที่จะให้พวกเขาปลดอาวุธในช่วงระหว่างที่ถ่ายทำ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้น ปืนไรเฟิลก็ถูกยกขึ้นจ่อ บารอน โคเฮน เลยทีเดียว
เมื่อนักล่าสัตว์รู้ว่า บรูโน่ เป็นเกย์และเชื่อว่ากำลังจีบหนึ่งในสมาชิกนักล่า พวกเขาก็ชักปืนไรเฟิลขึ้นมาพร้อมยิง ทีมงานพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ที่อยู่กลางป่าพร้อมกับชายสี่คนอาวุธครบมือ ซึ่งกำลังโกรธ บารอน โคเฮน ที่กำลังหลอกพวกเขา และยิ่งทีมงานเริ่มเจรจากับพวกเขามากเท่าไร มันก็ยิ่งเลวร้ายขึ้น ในที่สุดก็มีผู้ชายคนหนึ่งยกปืนขึ้นมาและเล็งไปหาหนึ่งในทีมงาน
นั้นเป็นสัญญาณให้ทีมงานเผ่นได้แล้ว
ไม่ถามไม่บอก...
...ยุทธวิธีแหกค่ายทหาร
หลังจาก บรูโน่ ตัดสินใจว่า เขาจะเป็นชายแท้เพื่อค้นหาความสำเร็จ เขาเดินทางข้ามทวีปเพื่อที่จะแก้การเป็นเกย์ ซึ่งสถานที่ที่จะจุดมุ่งหมายนี้ให้สำเร็จก็คือค่ายทหารที่อัลลาบาม่า ซึ่งก็เป็นโชคร้ายสำหรับค่ายทหารแห่งนี้ ที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากผู้บุกรุกคนนี้ได้
ทีมงานได้วางแผนว่าพวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากกองกำลังห้องกันแห่งชาติ โดยพวกเขาได้อธิบายว่าจุดประสงค์ในการมาเยี่ยมครั้งนี้ ก็คือให้ผู้ชมทางบ้านรู้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้างในการใช้ชีวิต และทำงานเป็นพลทหารในโรงเรียนฝึกการเป็นทหาร ซึ่งเมื่ออยู่ในนั้นแล้ว บารอน โคเฮน ที่แต่งตัวแฟชั่นลายทหารใหม่ล่าสุด (โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่า) และหลอกล่อให้นายทหารสองคนกลายเป็นดาราจำเป็น
มันไม่ใช่วันที่ดีของกองกำลังป้องกันแห่งชาติ เมื่อรถแวนของทีมงานเดินทางมาถึงสถานที่ฝึก ก็ดูจะไม่มีใครถามถึงบัตรแสดงความเป็นตัวตนเลย และที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้น มันกลายเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ทีมงานมั่นใจว่า ลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของพวกเขาจะต้องทำสำเร็จแน่
ในขณะที่พวกเขากำลังเก็บภาพที่ต้องการ ทีมงานก็ได้ยินเสียงตระโกนจากพลทหารที่ฝึกอยู่ว่า บารอน โคเฮน อยู่ในค่ายฝึกทหารแห่งนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจเก็บข้ามของและบึ่งออกจากค่ายโดยทันที พวกเขาพาตัว บารอน โคเฮน จับใส่รถแวนแล้วขับมุ่งหน้าไปหาประตูทางเข้าออก ทางทหารที่รู้ตัวว่าโดนหลอกก็ตระโกนไล่หลัง พร้อมกับสั่งให้ปิดประตูหน้า พวกเขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งถ้ามันช้าไปกว่านั้นอีกเพียงแค่สิบวินาที ทีมงานก็คงต้องเสียฟุตเทจทั้งหมด รวมถึงไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกพักใหญ่อย่างแน่นอน
การต่อสู้ในกรงเหล็กอันแสนอันตราย...
...ถอดหน้ากากพวกเกลียดกระเทย
นอกจากที่เขาได้ไปสัมภาษณ์ผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางแล้ว อีกฉากหนึ่งซึ่งมีอันตรายอย่างใหญ่หลวงก็คือ ฉากที่เป็นการต่อสู้ในกรงเหล็กที่ บรูโน่ รู้ตัวว่า ลุทส์ ผู้ช่วยอยู่ในสังเวียนกับเขา เพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกฉากจะต้องถูกถ่ายทำให้หมด ผู้กำกับ ชาร์ล และผู้อำนวยการสร้างก็ยังจองเอาไว้อีกที่ เผื่อว่าการถ่ายทำในวันแรกไม่พอและจะได้เอาทั้งสองอันมาตัดต่อเข้าด้วยกัน พวกเขายังรู้ว่าถ้าคนในเมืองรู้ว่าการถ่ายทำเรื่องนี้อยู่ในเมืองแล้วละก็ มันก็จะต้องเกิดการประท้วงกันใหญ่โตอย่างแน่นอน
ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2008 ทีมงานก็ได้ไปที่อาคันซอเพื่อเป็นเจ้าภาพในค่ำคืนที่เรียกว่า Blue Collar Brawlin ที่ผู้ชมจะมานั่งเดูมวยปล้ำและดื่มเบียร์ราคาถูกไปพร้อมกัน บรูโน่ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นชายแท้ในเรื่อง จะเข้าไปอยู่ในกรงแล้วท้าทายให้ใครหน้าไหนก็ตามมาสู้กับเขา เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นแมนมากแค่ไหนแล้ว
มันเป็นเรื่องสำคัญที่ทีมงานจะต้องหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฏหมายหรือแหกกฏที่ได้ตั้งเอาไว้ และพวกเขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ก้าวข้ามเส้นแบ่งของกฏหมาย (เท่าที่พวกเขารู้ตัว) และอีกอย่างก็คือ พวกเขาไม่ต้องการที่จะเสี่ยงไปกับกลุ่มคนที่เกรี้ยวกราด และพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้ตำรวจอยู่ข้างทีมงาน
ในคืนแรกที่เวาท์เวสเทิร์น อาคันซอ มีเพียงแค่ตำรวจไม่กี่นายที่มาดูแลความเรียบร้อยในสังเวียน แต่เมื่อทีมงานได้บอกตำรวจว่าผู้ชมที่ดูอาจจะก่อจลาจลได้ เมื่อตอนหนึ่งในการปล้ำบนสังเวียนผู้ชายสองคนอาจจะจูบกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตอบกลับไปว่า พวกเขาจะถอนกำลังออกจากการดูแลพื้นที่ และจะกลับมาเมื่อผู้ชมในสนามโทรมาแจ้งร้องทุกข์เมื่อเกิดปัญหา
ทั้งดาราและทีมงานถูกทิ้งทุ่นซะแล้ว
ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง, ผู้เขียน, ผู้สร้างและดาราของโปรเจ็คนี้ บารอน โคเฮน รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแสดงเป็นตัวละครนี้ ถ้าเขารู้ว่ามันจะทำให้ทีมงานได้รับอันตราย โดยในช่วงเวลาที่ตัวละครทั้งสองจ๊วบกันครั้งแรก เก้าอี้ก็ถูกขว้างเข้ามาในสังเวียนทันที ส่วนนักสู้คนอื่นที่อยู่ข้างนอกก็พากันปีนเข้ามาในกรงเหล็กและท้าให้ บารอน โคเฮน สู้กับเขา ซึ่งผู้กำกับ ชาร์ล เองก็ไม่ได้ฟุตเตจที่เขาวางแผนไว้ และ บารอน โคเฮน กับทีมงานก็เอาตัวรอดออกมาได้อย่างเฉียดฉิว
ในช่วงคืนนั้นเอง พวกเขาก็ได้ย้ายขบวนการขึ้นเหนือไปยัง ฟอร์คสมิทธ อาร์คันซอ เมื่อถึงที่นั้น ทีมงานก็ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในที่ผ่านมา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปฏิเสธที่จะลงบันทึกเอาไว้ ทีมงานรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดโชคแล้ว แต่ยังโชคดีเมื่อผู้อำนวยการสร้างได้พบกับหัวหน้าตำรวจและนายตำรวจคนอื่นๆที่ให้ความร่วมมือ พวกเขามุ่งหน้าไปยังสังเวียนที่สอง ด้วยการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากกว่าครั้งแรก
ประสบการณ์ทำให้ความพยายามครั้งที่สองที่ฟอร์ดสมิทธ ทีมงานทำให้แน่ใจว่า จะไม่มีขวดแก้วที่จะใช้เขวี้ยงใส่ บารอน โคเฮน และพวกเขาก็ยังผูกเก้าอี้พับเอาไว้ด้วยกัน เพื่อไม่ให้คนดูเขวี้ยงขึ้นมาบนเวทีได้
แต่มันก็เข้าอีหรอบเดิม เมื่อทั้งคู่แลกน้ำลายกันบนเวที คนดูก็ต่างรู้สึกเกรี้ยวกราดทันที ในไม่ช้าหนึ่งในคนดูก็ถอดลวดที่ผูกอยู่และเขวี้ยงเก้าอี้ใส่หัวของ บารอน โคเฮน ในขณะนั้นเองนักแสดงทั้งสองก็ได้หนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ ทั้งคนดูและนักสู้ต่างตระโกนสาปแช่ง และล้อมรถที่ใช้หลบหนีของทีมงานเอาไว้ ในที่สุดทุกอย่างก็จบลง เมื่อการเจรจาผ่านไปหลายชั่วโมง ที่มีนายตำรวจกว่า 40 คนจากพื้นที่ฟอร์ดสมิทธ ในการช่วยเหลือทั้งดาราและทีมงาน และเกลี้ยกล่อมให้ม็อบอันเกรี้ยวกราดปลอยพวกเขาไป
และก็เป็นครั้งนี้เองที่ผู้กำกับ ชาร์ล จับภาพเอาไว้ได้ทั้งหมด