กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--วีม คอมมูนิเคชั่น
ประเด็นสำคัญในการลงทุนทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านพื้นฐาน — วันนี้ราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐได้บดบังผลประกอบการที่อ่อนแอของกลุ่มธนาคาร และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น
กรอบการเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคราคาทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะสั้น — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะกลางยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, MACD 30 นาทีเคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกทำให้ดูราคาเป็นบวก, MACDF อยู่ใกล้ 0 ทำให้ดูราคาเป็นตลาด Sideways, Fast Stochastic เคลื่อนตัวขึ้นทำให้ราคาดูเป็นบวก, RSI 30 นาทีอยู่ที่ระดับ 66.129 ถือเป็นระดับ overbought อยู่เล็กน้อยทำให้ดูว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง, ทิศทางตลาดระยะสั้นดูเป็น Sideways แนวรับแนวต้านของวันอยู่ที่ $945-$955 ค่าเงินบาทในวันนี้อยู่ที่ระดับ ฿33.92-฿34.08
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะกลาง - Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะกลางยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, RSI อยู่ที่ระดับ 73.462 ถือเป็นระดับ overbought ทำให้ดูว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง, MACD เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกและได้ตัดเส้น Trigger จากด้านล่างทำให้ดูราคาป็นขาขึ้น, MACDF เคลื่อนตัวเข้าเข้าสู่แดนบวกทำให้ดูราคาเป็นบวก, Fast Stochastic อยู่เหนือเส้น Trigger ทำให้ราคาทีโอกาสกลับตัวลงอยู่เล็กน้อย, ทิศทางตลาดระยะกลางยังคงดูเป็นตลาด Sideways-up โดยจะใช้แนวต้านที่ $960 เป็นต้านระยะกลางที่สำคัญและแนวต้านราคาระยะกลางต่อไปอยู่ที่ $990 ส่วนแนวรับระดับกลางอยู่ที่ $912 และ $880
ราคาทองคำแท่งที่ร้านค้าปลีกปิดล่าสุด (เส้นสีแดง = 15,250 บาท) ซึ่งต่ำกว่าราคาทองคำแท่ง (SPOT) ในตลาดโลกเช้านี้ (เส้นสีน้ำเงิน = 15,400 หรือที่ $952.50) แสดงถึงราคาทองคำแท่ง ณ. หน้าร้านขายปลีก มีส่วนลดจากราคาในตลาดโลก อยู่ 150 บาท ขณะที่ราคาของ GFQ09 เมื่อวานนี้ปิดตลาดอยู่ที่ 15,360 บาท จะมีส่วนลดจากราคาในตลาดโลก อยู่ราว 40 บาท ซึ่งน้อยกว่าที่ร้านค้าปลีก ดังนั้น การเปิดสถานะขาย (Short) GFQ09 แล้ว ซื้อ (Long) ทองคำแท่งที่ร้านทอง จะทำให้มีส่วนต่างของกำไรที่คาดหวัง อยู่ที่ 150-40 = 110 บาทต่อทองคำแท่ง 1 บาท จึงยังคงไม่คุ้มค่ากับค่าคอมมิชชั่น (ประมาณ 120 บาทต่อ 1 บาททอง) และดอกเบี้ยในการหากำไรจากส่วนต่างราคาได้ในวันนี้
ข่าวสารสำคัญเพื่อประกอบการลงทุน
ปัจจัยบวก
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ — สำนักงานการเงินที่อยู่อาศัยหรือ FHFA ของรัฐบาลกลางสหรัฐบ่งชี้ว่า ราคาบ้านเดี่ยวในสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ค.จากเดือนเม.ย.ที่ -0.1% ได้ลดความน่าดึงดูดใจของดอลลาร์ในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ทำให้ดอลลาร์ไม่สามารถแข็งค่าได้มากนัก
ค่าเงินบาท — ค่าเงินบาททรงตัวที่ 33.99 บาทต่อดอลลาร์ จากที่ปิด 33.99 บาทต่อดอลลาร์เมื่อวันก่อนหน้า โดยเป็นการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ขณะที่ดีลเลอร์ กล่าวว่า นักลงทุนและบริษัทต่างๆ ยังคงลังเลที่จะทำธุรกรรม หลังยังไม่แน่ใจทิศทางตลาด ขณะที่เช้านี้เงินบาทอ่อนค่าลง +4 สต. มาที่ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 33.92 บาทและ 33.86 บาทตามลำดับ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 34.08 บาทและ 34.18 บาท
ปัจจัยลบ
ผลประกอบการไตรมาส 2/09 — แอปเปิล + เอ็นวีอาร์ อิงค์ + อีเบย์ และสตาร์บั๊คส์ เผยผลกำไรรายไตรมาสสูงเกินคาด ได้บ่งชี้ถึงแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ค + เวลล์ ฟาร์โก แอนด์ โคและมอร์แกน สแตนเลย์ เผยผลกำไรไตรมาส 2/09 ที่ลดลงมาก และเป็นเหตุให้นักลงทุนกลับมาเป็นกังวลกับกลุ่มธนาคารและตลาดการเงินของสหรัฐอีกครั้ง จึงได้ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลงและหันกลับเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์และเยนมากขึ้น
ธนาคารกลางสหรัฐ - ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังคงย้ำในการแถลงต่อคณะกรรมาธิการธนาคารเป็นวันที่ 2 ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอีกระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่เงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน อย่างไรก็ตาม แม้ FED จะให้ความระมัดระวังในการต้านเงินเฟ้อ แต่นักลงทุนและตลาดก็ยังคงคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงยังเป็นการยากที่ทองจะปรับฐานลงจากระดับในปัจจุบัน จนกว่าการคาดการณ์การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อจะลดลง
CIT Group — ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า CIT Group Inc. ยังคงต้องยื่นล้มละลายในเดือนหน้า แม้จะได้รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 พันล้านดอลลาร์จากผู้ถือหุ้นกู้ก็ตาม
ค่าเงินดอลลาร์ — ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น -$0.0005 เมื่อเทียบเงินยูโร มาที่ $1.4206 จากที่ปิด $1.4211 เมื่อวันก่อนหน้า หลังตลาดหุ้นที่ทรงตัวและข้อมูลที่บ่งชี้ถึงราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐได้บดบังผลประกอบการที่อ่อนแอของกลุ่มธนาคาร ซึ่งลดความน่าดึงดูดใจของดอลลาร์ในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ขณะที่เช้านี้ดอลลาร์อ่อนค่าลง +$0.0007 มาที่ $1.4213
ราคาน้ำมันดิบ — ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ก.ย. ร่วงลง -$0.21 มาปิดที่ $65.40 ต่อบาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยข้อมูลปริมาณสำรองน้ำมันดิบลดลง -1.8 ล้านบาร์เรล ลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงถึง -2.1 ล้านบาร์เรล มาที่ 342.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ก.ค. ส่วนปริมาณสำรองน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น +1.2 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น +1.5 ล้านบาร์เรล มาที่ 160.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น +8 แสนบาร์เรล เท่ากับที่คาดไว้ มาอยู่ที่ 215.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง -2.1% ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ -0.4% มาที่ 85.8% แม้จะได้รับแรงหนุนบางส่วนจากความกังวลที่ว่า สมาชิกบางประเทศในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) อาจปรับลดปริมาณการผลิตเพื่อหนุนราคาน้ำมัน + จีนรายงานการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 1.8% จากปีที่แล้ว มาที่ 8.01 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนมิ.ย. ขณะที่เช้านี้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ก.ย. อ่อนตัวลงอีก -$0.28 มาอยู่ที่ $65.12 ต่อบาร์เรล
กองทุนทองคำ — SPDR กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก รายงานการเข้าถือทองคำถึง ณ. 22 ก.ค.52 ลดลง -5.80 ตัน จากวันก่อนหน้า รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,086.61 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.31 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34.94 ล้านออนซ์
ปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ — คืนนี้
1. กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ โดยรอยเตอร์คาดว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะอยู่ที่ 5.5 แสนราย เพิ่มขึ้นจาก 5.22 แสนรายในสัปดาห์ก่อนหน้า
2. สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะรายงานยอดขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย. โดยรอยเตอร์คาดว่า ยอดขายบ้านมือสองจะอยู่ที่ 4.84 ล้านยูนิตในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นจาก 4.77 ล้านยูนิตในเดือน พ.ค.