กรุงเทพฯ--24 ก.ค.--ธนาคารอาคารสงเคราะห์
นายนริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้แถลงถึงความก้าวหน้าของการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพนักงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุจริตเงิน มูลค่า 499 ล้านบาท ว่า ตามที่ทางคณะกรรมการธนาคารได้มอบหมายให้นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานกรรมการตรวจสอบของธนาคารฯ เป็นประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตในธนาคารสงเคราะห์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 โดยมีกรรมการประกอบด้วย ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย นายชัยวัฒน์ อัศวินทรางกูร และ นายธาดา ไชยคุปต์ เป็นกรรมการและเลขาฯ นั้น
บัดนี้คณะกรรมการดังกล่าวได้สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง และความเห็น เสนอต่อคณะกรรมการธนาคารในการประชุม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กค.52 จากการสอบข้อเท็จจริง สรุปได้ว่า การทำทุจริตดังกล่าวแบ่งเป็น 2 วิธี คือการปลอมสลิปเพื่อถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า จำนวน 36.5 ลบ. และการสร้างรายการจากดอกเบี้ยจ่ายของธนาคาร จำนวน 499.27 ลบ. แยกเป็น ดอกเบี้ยจ่าย สำนักพระราม 9 จำนวน 454.03 ลบ. และดอกเบี้ยจ่าย สาขาเซ็นต์หลุยส์ 3 จำนวน 45.24 ลบ.
จากการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งจากพยานบุคคลและเอกสาร สามารถสรุปได้ว่า สาเหตุที่ทำให้นายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช สามารถทุจริตได้สำเร็จ มีมูลค่าสูงและต่อเนื่องเวลานาน มาจากสาเหตุ 3 ประการ คือ 1) การผ่อนปรนเงื่อนไขของขั้นตอนการทำงานในระบบ CBS ใหม่ 2) การละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมกำกับดูแลงานปกติของธนาคาร (Normal operation) ของผู้ที่รับผิดชอบ และ 3) ความไม่พร้อมของพนักงานและระบบต่างๆที่ใช้ในการตรวจสอบ เมื่อเริ่มใช้ระบบ CBS ใหม่
คณะกรรมการธนาคารได้รับทราบผลการสอบที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสนอ และพิจารณาแล้วมีมติต่อไปนี้ 1) ผู้กระทำการทุจริต คือ นายสมเกียรติ เป็นผู้กระทำการทุจริตโดยไม่มีผู้ร่วมกระทำผิด ซึ่งธนาคารได้ดำเนินคดีอาญา โดยการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับนายสมเกียรติ รวมทั้งได้ส่งเรื่องให้กับ ปปช. แล้ว ซึ่งคณะกรรมการธนาคารมีมติรับทราบ 2) กลุ่มผู้ไม่ปฏิบัติหน้าที่จนเป็นสาเหตุให้เกิดการทุจริต ประกอบด้วยผู้บริหารและพนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบและมีระเบียบปฏิบัติกำหนดไว้แต่ละเลยไม่ได้ปฏิบัติ รวมถึงกลุ่มพนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับเปลี่ยนระบบใหม่ ซึ่งก่อให้เกิดสาเหตุข้างต้น โดยคณะกรรมการสอบฯ ได้ตระหนักถึงผลกระทบต่อการบริหารงานและการดำเนินงายของธนาคาร จึงกำหนดผู้ที่รับผิดชอบหลักตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นสำคัญ โดยสรุป มีผู้บริหารและพนักงานที่อยู่ในข่าย 10 คน ซึ่งคณะกรรมการธนาคารพิจารณาแล้วมีเหตุผลเพียงพอให้ธนาคารรับไปดำเนินการทางวินัยต่อไป 3) ในส่วนผู้บริหารระดับสูงที่อาจเกี่ยวข้อง คณะกรรมการธนาคารมีมติมอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารเสนอประธานกรรมการธนาคารแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบประสิทธิภาพผู้บริหารตามรายงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยมีประธานกรรมการบริหาร คุณชัยเกษม นิติศิริ เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพผู้บริหารระดับสูงต่อไป
นายนริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการธนาคารเพิ่มเติมว่าจะนำเสนอรายงานข้อสรุปของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเพื่อทราบต่อไป
นอกจากนี้ นายนริศ ชัยสูตร ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจากฝ่ายบริหารว่า จากยอดเงินกระทำทุจริต 499 ล้านบาท ทางธนาคารและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามเงินสดและสินทรัพย์ต่างๆ ที่นายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช ถือครอบครอง หรือ ได้มาจากากกระทำทุจริต จำนวน 253.9 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินสด 201 ล้านบาท บ้านพร้อม ที่ดิน 28.9 ล้านบาท ห้องชุด 2.2 ล้านบาท รถยนต์ 4 คัน 11.8 ล้านบาทและทรัพย์สินอื่นๆ 10 ล้านบาท ซึ่งรวมสุทธิแล้ว ขณะนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้รับความเสียหายประมาณ 250 ล้านบาท
อนึ่ง นายนริศ ได้ย้ำกับผู้สื่อข่าว ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขอให้ความมั่นใจแก่ลูกค้าของธนาคารว่า เหตุการณ์นี้ไม่มีมีผลเสียหายกับลูกค้าเงินฝากและลูกค้าเงินกู้ของธนาคารแต่อย่างใด แต่เป็นการลักทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์โดยตรง นอกจากนี้ เวลานี้ฐานะการเงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์มีความมั่นคง โดยมีทุน 17,000 ล้านบาท บวกกับกำไรสะสมกว่า 15,000 ล้านบาท ทำให้มีทุนดำเนินการมากกว่า 30,000 ล้านบาท โดยภายใต้ทุนดำเนินงานนี้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อและมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 630,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 21.1 เท่าของเงินทุนซึ่งสูงมาก อีกประการธนาคารสามารถดำรงสภาพคล่องไว้ในระดับที่เหมาะสม เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้มีกำไรต่อเนื่องในระดับ 3,000 ล้านบาทตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2551 ธนาคารมีกำไรสุทธิสูงถึง 3,305 ล้านบาท (เป้าที่กำหนด 1,750 ล้านบาท) และในปี 2552 ธนาคารกำหนดเป้าหมายกำไรสุทธิไว้ที่ 3,500 ล้านบาท แต่ในหกเดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 2552) ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,089 ล้านบาท จึงคาดว่าทั้งปีจะมีกำไรสุทธิสูงกว่าประมาณการ เช่นเดียวกับสินเชื่อที่ครึ่งปีแรกของปี 2552 ธนาคารปล่อยสินเชื่อไป 46,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 73,500 บาท จึงคาดว่าทั้งปีจะทำได้สูงกว่าเป้าหมาย ส่วนอัตราส่วนสินทรัพย์ต่อสภาพคล่องหรือ BIS ratio ขณะนี้อยู่ที่ 10.8 ซึ่งสูงกว่าอัตรา 8.5 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในขณะเดียวในแง่ของการดูแลระบบ CBS ทางธนาคารได้ออกมาตรการหลากหลายเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบ CBS เช่น กำหนดระบบรักษาความปลอดภัยของระบบ (Security Setups ในระบบ CBS) ปรับปรุงกระบวนการทำงาน รวมถึงขั้นตอนระเบียบปฏิบัติงานต่างๆให้รัดกุมยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าธนาคารยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ
ส่วนประชาสัมพันธ์
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์
โทร. 0-2202-1980-6