รู้จักกองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น…ที่ลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 24, 2009 14:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ก.ค.--ตลท. การลงทุนในหุ้นนั้นแม้ว่าจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูง แต่ก็อาจมีโอกาสขาดทุนสูงเช่นกัน ในขณะที่การฝากเงินในธนาคารหรือการลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆนั้นแม้ว่าจะได้รับผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ แต่ความเสี่ยงก็ค่อนข้างต่ำเช่นกัน ดังนั้นจึงมีคำถามตามมาว่า มีการลงทุนในรูปแบบใดบ้าง ที่ได้ผลตอบแทนดีเหมือนหุ้น แต่มีความเสี่ยงต่ำ และ ที่สำคัญคือ เงินต้นไม่หาย? อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2552 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภทได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ โดยในเดือนมิถุนายน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ระดับ 0.50% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี อยู่ที่ระดับ 1.00% เท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าฝากเงิน 1 แสนบาทไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์วันนี้ อีก 1 ปี ถัดไป ผู้ฝากเงินจะได้ดอกเบี้ย 500 บาท และยังต้องเสียภาษีให้รัฐอีก 15% นั่นคือ ผู้ฝากเงินจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยทั้งสิ้นเพียงสี่ร้อยกว่าบาทเท่านั้น นักลงทุนมองหาทางเลือกใหม่ๆในการลงทุน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมากในปัจจุบัน ทำให้ผู้ฝากเงินในธนาคารมองหาช่องทางอื่นๆในการลงทุน ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร และในขณะเดียวกันต้องมีความเสี่ยงที่ต่ำด้วย คำถามที่อาจจะอยู่ในใจนักลงทุนหลายๆท่านก็คือ มีทางเลือกในการลงทุนอะไรอีกบ้าง ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก และมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ? นักลงทุนหันไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน รวมทั้งกองทุนรวมตลาดเงิน การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน รวมทั้งกองทุนรวมตลาดเงิน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้ว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 ภาคเอกชนมีการออกหุ้นกู้เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปถึง 1.65 แสนล้านบาท[1] ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน รวมไปทั้งการเติบโตของกองทุนรวมตลาดเงิน จากประมาณ 3 แสนล้านบาท เมื่อต้นปี 2552 เป็น 5.2 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552[2] นอกจากนี้ กองทุนพันธบัตรของประเทศต่างๆเช่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ก็ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ซึ่งผลตอบแทนของการลงทุนนั้นก็แตกต่างกันไปตามประเภท ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาของการลงทุน แต่การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า...และความเสี่ยงก็สูงกว่าเช่นกัน… ในขณะเดียวกันหากมองถึงผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ณ.สิ้นเดือน มิถุนายน 2552 ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 597 จุดจากต้นปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 478 จุด หรือคิดเป็นประมาณ 25% จะเห็นได้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมากกว่าการฝากเงินในธนาคาร หรือการลงทุนในตราสารหนี้มาก แต่ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นนั้นก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2552 ตลาดหุ้นไทยนั้นมีความผันผวนค่อนข้างมาก คือดัชนีหลักทรัพย์ปิดต่ำสุดที่ระดับ 411 จุดในเดือนมีนาคม และ ไปแตะระดับสูงสุดที่ระดับ 628 จุด ในเดือนมิถุนายนซึ่งแตกต่างกันถึง 34.50% ในระยะเวลาอันสั้น ทางเลือกหนึ่งที่อาจจะตอบโจทย์นักลงทุนได้คือ ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีลักษณะคุ้มครองเงินต้น และมีผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีหุ้น ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เช่น กองทุนรวมซึ่งมีลักษณะคุ้มครองเงินต้น และ ถ้าดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ผู้ลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มด้วย ซึ่งอาจจะตอบโจทย์ของนักลงทุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนหรือผู้ฝากเงินที่มีความคิดว่า ? ‘อยากลงทุนในหุ้น’ (เพราะถ้าซื้อไว้แล้ว หุ้นขึ้นไปคงได้กำไรสูง) ? ‘แต่ไม่อยากขาดทุน’ (ถ้าคาดผิดก็ไม่อยากเสียเงินที่ลงทุนไป) เงินต้นไม่หาย กำไรมาแบ่งกัน ลักษณะพิเศษของกองทุนประเภทนี้ก็คือเมื่อลงทุนไปแล้ว ‘เงินต้นไม่หาย กำไรมาแบ่งกัน’ ตัวอย่างเช่น กองทุนรวมซึ่งมีระยะเวลาการลงทุน 1 ปี กำหนด ‘รูปแบบของผลตอบแทน’ ไว้ว่า หากนับจากนี้ไป 1 ปี[3] ? ถ้าดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นเกิน 10 % ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 7% ? ถ้าดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไม่ถึง 10% ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 1% ? ถ้าดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนแต่จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน จะเห็นได้ว่าข้อดีของการลงทุนแบบนี้คือ ‘เงินต้นไม่หาย’ แม้ในกรณีที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง ซึ่งแม้ว่านักลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนเลยแต่ก็จะได้รับเงินต้นคืนไปเต็มจำนวน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมดีกว่าขาดทุน ในขณะเดียวกัน หากดัชนีหุ้นขึ้นไปมากๆเช่น 20% นักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนเพียง 7% นี่คือความหมายของ ‘กำไรมาแบ่งกัน’ ซึ่งในที่นี้นักลงทุนจะได้รับ ‘ส่วนแบ่ง’เพียง 7% ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นไปมากเท่าไหร่ นั่นคือนักลงทุนต้องยอมเสียสละผลตอบแทนบางอย่างไปเพื่อแลกมากับการคุ้มครองเงินต้นนั่นเอง เริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นอย่างไร ไม่ให้ขาดทุน ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ในระดับต่ำ สำหรับผู้ที่มีความสนใจที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังเป็นห่วงเรื่องการขาดทุน หรือการสูญเสียเงินต้น เช่น นักลงทุนที่เคยฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งเริ่มมีความสนใจที่จะได้รับผลตอบแทนจากตลาดหุ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร ดังนั้น ‘ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีลักษณะคุ้มครองเงินต้น และมีผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีหุ้น’ จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการเริ่มเข้าใจถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป กองทุนรวมที่มีลักษณะดังกล่าวมานี้ นำเงินไปลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรียกว่า ‘หุ้นกู้อนุพันธ์’ (Structured Note) ซึ่งหุ้นกู้อนุพันธ์แต่ละประเภทนั้นก็มีลักษณะแตกต่างกันไปทั้งในเรื่องของระยะเวลาในการลงทุน รวมไปถึง ‘รูปแบบของผลตอบแทน’ และสินค้าอ้างอิง ซึ่งอาจจะเป็นดัชนีหลักทรัพย์เช่น SET50 Index หรือ ดัชนีอื่นๆเช่น ดัชนีราคาน้ำมัน ดัชนีราคาทองคำ หรือดัชนีหลักทรัพย์ต่างประเทศก็ได้ ซื้อขายผ่านช่องทางทางใดได้บ้าง ในประเทศไทยนั้นช่องทางในการลงทุนในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีอยู่ 3 ช่องทางหลักๆคือ 1. ซื้อผ่านธนาคารพาณิชย์ 2. ซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์ 3. ซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม สำหรับสองช่องทางแรกคือ การซื้อขายผ่านธนาคารพาณิชย์และผ่านบริษัทหลักทรัพย์ นั้น โดยทั่วไปจะใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง คือกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ประมาณ 10 ล้านบาท และมีลักษณะรูปแบบผลตอบแทนที่ค่อนข้างซับซ้อน เมื่อเทียบกับช่องทางที่สามคือการซื้อขายผ่านกองทุนรวมซึ่งออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ที่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ประมาณ 10,000— 50,000 บาท เท่านั้น และสามารถซื้อขายได้เฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น กองทุนรวมที่มีลักษณะคุ้มครองเงินต้น ที่มีผลตอบแทนอิงกับดัชนีต่างๆที่ออกในปี 2551 * ที่มา : ข้อมูลจากแต่ละ บลจ. , สมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (AIMC) จะเห็นได้ว่ากองทุนประเภทนี้ที่ออกในปี 2551 นั้นมีความหลากหลายในเรื่องของสินค้าอ้างอิง คือมีทั้งดัชนีหลักทรัพย์ในประเทศ และดัชนีหลักทรัพย์ต่างประเทศ รวมไปถึงกองทุนซึ่งอ้างอิงกับดัชนีราคาทองคำ และ ดัชนีราคาน้ำมัน และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงกองทุนเดียวที่มีลักษณะอ้างอิงกับ SET50 Index ซึ่งหากในปี 2552 มีกองทุนประเภทนี้ ออกมาเป็นทางเลือกให้นักลงทุนอีก ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในสภาวะดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่อยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ ความเสี่ยงของการลงทุนมีอะไรบ้าง... การลงทุนกับความเสี่ยงนั้นเป็นของคู่กัน ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้ โดยสรุปมีดังนี้คือ ? ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง คือเมื่อซื้อกองทุนประเภทนี้แล้ว ต้องถือไปจนครบกำหนดอายุกองทุน ไม่สามารถไถ่ถอนก่อนครบกำหนดได้ ? ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกตราสาร หากผู้ออกหุ้นกู้อนุพันธ์ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไปลงทุนไว้ มีปัญหาด้านการเงิน ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงที่ให้ไว้ได้ ก็อาจทำให้นักลงทุนไม่ได้รับเงินต้นคืนทั้งจำนวน แต่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมก็จะเลือกเครดิตเรตติ้งของผู้ออกตราสารที่อยู่ในระดับที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงด้านนี้อยู่แล้ว ? ความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน หากกองทุนรวมไปลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ซึ่งได้รับผลตอบแทนเป็นเงินตราต่างประเทศ กองทุนนั้นก็ย่อมที่จะมีความเสี่ยงในเรื่องของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้นโยบายในการป้องกันความเสี่ยงของแต่ละกองทุนก็แตกต่างกันไป เช่นบางกองทุนอาจมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน เป็นต้น รายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยงต่างๆรวมทั้งรูปแบบของผลตอบแทนนั้น นักลงทุนสามารถศึกษาได้ในหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวม ซึ่งจะมีการให้ข้อมูลไว้โดยละเอียด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งนักลงทุนควรศึกษารายละเอียดดังกล่าวอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินในการลงทุน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2552 นี้ยังไม่มีกองทุนประเภทนี้ออกมาเสนอขายให้นักลงทุนทั่วไป เนื่องจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในระดับต่ำ และ ดัชนีหุ้นมีความผันผวนสูง ซึ่งทำให้หุ้นกู้อนุพันธ์มีผลตอบแทนที่ไม่น่าจูงใจในการลงทุน แต่หากในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 สภาวะเศรษฐกิจเริ่มทรงตัว รวมทั้งรัฐบาลมีการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรมากขึ้น ก็น่าจะทำให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมมีการออกกองทุนประเภทนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนมากขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ