กรุงเทพฯ--27 ก.ค.--indexevent
ด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 21 ถึง วันที่ 24 กรกฎาคม พุทธศักราช 2552 โดยในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะทอดพระเนตร สถานที่จัดงานมหกรรมโลก หรือ งาน World Expo ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งงาน The World Exposition Shanghai China 2010 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม — 31 ตุลาคม พ.ศ.2552 (6 เดือน) ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน The World Exposition Shanghai China 2010 โดยได้กำหนดหัวข้อหลัก (Theme) ของการจัดงานครั้งนี้ คือ “Better City, Better Life” : เมืองที่ดีกว่า เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนถึงข้อตระหนักที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์ รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีเมืองที่ดีกว่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ของสังคมมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 โดยสถานที่จัดงาน The World Exposition Shanghai China 2010 ครอบคลุมเนื้อที่ทั้งหมด 5.28 ตารางกิโลเมตร โดยใช้พื้นที่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River) ระหว่างสะพานหนานผู่ (Nanpu Bridge) และสะพานหลูผู่ (Lupu Bridge)
โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมการจัดแสดงอาคารศาลาไทยในครั้งนี้ บนพื้นที่ 3,117 ตาราง กิโลเมตร ใน โซน B-03 โดยมีรูปแบบอาคารที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย การจัดแสดงนิทรรศการ จะมีการนำเสนอด้วย เทคนิค อุปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อสร้างความน่าสนใจ มีความตื่นเต้น และดึงดูดผู้เข้าชมงาน ด้วยการนำเสนอตามแนวคิดหลัก คือ “Thainess : Sustainable Ways of Life ซึ่งแนวคิดนี้มุ่งหมายที่จะนำเสนอให้นานาประเทศได้รับรู้ถึงวิถีความเป็นไทย แนวทางการดำเนินชีวิตทั้งในรูปแบบของเมืองและชนบท ความงดงามอย่างมีเอกลักษณ์ด้านศิลปะและวัฒนธรรมอย่างไทย การนำภูมิปัญญาไทยมาปรับใช้ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ มาเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสงบสุขในสังคม มีการนำเสนอผ่านการจัดแสดงนิทรรศการด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในห้องจัดแสดงนิทรรศการของอาคารศาลาไทย
การออกแบบด้านสถาปัตยกรรมของอาคารศาลาไทย ได้นำเสนอ “ประเทศไทย” และ“ความเป็นไทย” ให้นานาประเทศได้รู้จักมากยิ่งขึ้นในฐานะประเทศที่มีเอกลักษณ์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอันโดดเด่น เป็นการนำเสนอด้วยแนวคิด “Thai Perspective” โดยได้หยิบยกเอาสถาปัตยกรรม และศิลปะของไทยมาผสมผสานจัดวางในการก่อสร้างอาคารศาลาไทย เพื่อให้ผู้เข้าชมงานสามารถสัมผัสความงดงามแบบไทย มีความเข้าใจถึงความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนไทย
นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรม ประกอบด้วยการแสดงนิทรรศการภายในอาคารศาลาไทย และการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยประจำวัน ณ ศาลาจัตุรมุข ภายนอกอาคารศาลาไทย รวมทั้ง การจัดกิจกรรมพิเศษวันชาติ (National Day) ซึ่งการจัดงานวันชาติของไทยนี้ กำหนดให้เป็นวันที่ 5 กันยายน 2553 โดยจะมีการจัดกิจกรรม การแสดงอย่างยิ่งใหญ่สวยงาม และมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ