กรุงเทพฯ--29 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
กำหนดฉาย 20 สิงหาคม 2552
แนวภาพยนตร์ สยองขวัญ-สั่นฮา
บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง มหาการพิคเจอร์ส
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง ยุทธเลิศ สิปปภาค, เอมอร เนื่องกัญญา
กำกับ-เขียนบท ยุทธเลิศ สิปปภาค
กำกับภาพ ยุคนธร มิ่งมงคล
ลำดับภาพ ธวัช ศิริพงศ์
ออกแบบงานสร้าง ศรายุทธ์ พุมเพรา
กำกับศิลป์ คชา เรืองทอง
ออกแบบเครื่องแต่งกาย ศิริวรรณ ก้านชูช่อ
บันทึกเสียง ปรีเทพ บุญเดช
ดนตรีประกอบ ออริจิน กัมปะนี
แต่งหน้า บรรจง สุภาษี
แต่งหน้าเอฟเฟ็กต์ ธนาวุฒิ บู่สามสาย
เว็บไซต์หลักภาพยนตร์ www.buppha3.com
ทีมนักแสดง เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, มาริโอ้ เมาเร่อ, ด.ญ. นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ, อดิเรก วัฏลีลา,
บุญถิ่น ทวยแก้ว, อาคม ปรีดากุล (ค่อม ชวนชื่น), อุดม ชวนชื่น,
ด.ช. สรรภวัต สุระเกรียงศักดิ์, ฉันทนา กิติยพันธ์, สมเล็ก ศักดิกุล,
สุธน เวชกามา (อ่าง เถิดเทิง), สายเชีย วงศ์วิโรจน์ และ สันติสุข พรหมศิริ
สิ้นสุดการรอคอย บทสรุปส่งท้ายเลี้ยวซ้ายเสียวไส้ตลอด ของ “หนังผีสาวตัวแม่ฉบับไตรภาค” กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง เตรียมสานต่อความสยองขวัญสั่นประสาทที่ยังคั่งค้าง อาการข้างเคียงแห่งความหวาดผวาอาละวาด “ต้อม ยุทธเลิศ” ปาดมีดโกนรับประกัน “ความหลอนลึก อึกทึกฮาเลือดสาด” “บุปผาราตรี 3.2” กลับมาจบทุกความสยอง...20 สิงหาคมนี้
เรื่องย่อ
หลังการกลับชาติมาเกิดของ “บุปผา” (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ในร่างของ “เด็กหญิงปลา” (ด.ญ. นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ) เด็กน้อยผู้น่าสงสารและโชคร้ายที่ถูกฆ่าตายอย่างทารุณในห้อง 609 ของ “ออสการ์อพาร์ตเม้นต์-ฉบับเรโนเวท” ที่มาพร้อม “บ่อนเถื่อน” ซึ่งบริหารงานนับเงินโดยเจ้าของบ่อนอย่าง “เจ๊สาม” (ฉันทนา กิติยพันธ์) และดำเนินการโกงเนียนๆ โดย “เซียนต้อม” (ค่อม ชวนชื่น) เซียนพนันที่มี “ลูกกรอกตัวพ่อ” (อุดม ชวนชื่น) คอยช่วยเหลือทุกครั้งที่ลงสนามไฮโล
ฉับพลันชั่ววูบความตาย “ผีปลา” ก็ออกอาการร้อนวิชาเฮี้ยนโหด จัดการบรรเลงเพลงเชือดสยองชุดใหญ่ไล่ตั้งแต่ห้อง 609 ยันบ่อนชั้น 3 ที่เหล่าเซียนพนันนานาชาติสิงสถิตย์อยู่
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ “หรั่ง” (มาริโอ้ เมาเร่อ) นักวาดการ์ตูนผีได้ย้ายมาอยู่ที่ออสการ์อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้เพียงไม่กี่วัน เขาก็มีโอกาสได้พบกับบุปผา-หญิงสาวที่เขาแอบหลงรักมาตั้งแต่วัยเด็ก โดยไม่รู้ว่าเธอกลายเป็น “ผีบุปผา” ไปแล้ว หาใช่ “พี่บุปผา” คนเดิมไม่
เขาตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน เขาจะต้องบอกรักพี่บุปผาให้ได้ แต่แล้ว “บุพเพสันนิวาส” ที่หรั่งเคยคิดเมื่อแรกเจอกัน มันกลับกลายเป็น “บุปผาอาละวาด” จนกระทั่ง...หรั่งสิ้นสติไป
ร้อนถึงเจ๊สามที่ต้องจ้าง “หมอคง หรือ ด๊อกเตอร์คง” (สมเล็ก ศักดิกุล), “หมอผีเขมร” และ “ฤาษีตาไฟ” มาร่วมด้วยช่วยปราบผีบุปผาเฮี้ยนรักโดยด่วน!!!
และในขณะที่ “การสืบคดีเด็กหญิงปลาถูกฆ่า” ของนักสืบเทพ กำลังถูกแก้ปมใหญ่-ไขปริศนาอันน่าสะพรึง ข้างฝ่าย “หมวดอังเคิล-จ่าบุญถิ่น” คู่หูตำรวจสุดป่วนก็ต้องกลับมาเยือนออสการ์อพารต์เม้นต์อีกครั้งด้วยความ (ไม่) เต็มใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อพวกเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการ “ดักทลายบ่อนเจ๊สาม” เพื่อจับกุมอาชญากรข้ามชาติที่หนีมากบดานที่นี่ให้ได้ โดยงานนี้มี “เดวิด เจียง” มือปราบพระกาฬ (!?!) แห่งเกาะฮ่องกง มาช่วยกันจ้ำอ้าวหนีผีไม่มีอั้น...ซะงั้น
เรื่องราวโกลาหล-งงงวยซวยเป็น “หมู่คณะออสการ์” จะลงเอยอย่างไร กำแพงรักของ “หนุ่มหรั่งและสาวบุปผา” จะถูกฝ่าไปสิ้นสุดตรงจุดไหน
เสียงกรีดร้องฉบับดั้งเดิมพร้อมตวัดปลายมีดโกนของ “ผีสาวตัวแม่รุ่น 3.2” กำลังรอทุกคนมาขมวดปมส่งท้ายความสยองไปพร้อมๆ กัน
...กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด...
“ต้อม-ยุทธเลิศ” ยังมีของ สยองต่อเนื่องเรื่องผีบุปผา
“บุปผาราตรีภาค 3 มันยังคงเป็นภาคต่อเนื่องมาจากภาค 1 และ 2 แต่ว่าภาค 3 เนี่ย มันจะเป็นการที่ชีวิตของบุปผาได้มาเกิดใหม่ เป็นช่วงเกิดใหม่แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบุปผา จนกระทั่งวันหนึ่งมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้นจนทำให้บุปผาเนี่ยระลึกชาติได้ พอบุปผาระลึกชาติได้ เรื่องก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น มันเหมือนกับ 10 ปีผ่านไปหลังจากบุปผาถูกเผา เรื่องมันเริ่มขึ้นที่ 10 ปีต่อมา พอบุปผาถูกเผาก็ไปเกิดเลย ผ่านไป 10 ปี ถึงมีเหตุให้จำตัวเองได้ว่าตัวเองคือบุปผาราตรีไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ
คือภาค 1 มันจะเป็นมู้ดความรักเศร้าๆ ของบุปผาในประสบการณ์ที่เจอะเจอมา พอมาภาค 2 ก็ยังเจอกับความรักที่ไม่แน่ใจ ความรักที่ไม่มั่นคงของผู้ชายที่ตัวเองรัก มาถึงภาค 3 นี้ความรักของบุปผาเริ่มไม่มีเหลือละ มันจะเหลือแต่ความแค้น ความโกรธเกรี้ยว อาฆาตอะไรพวกนี้ นั่นมันจะทำให้บุปผาภาค 3 เนี่ย เป็นบุปผาที่ค่อนข้างจะโหดขึ้น น่ากลัวขึ้น มันจะเป็นครั้งแรกที่บุปผาจะฆ่าคน ปกติจะไม่ฆ่าใคร แค่หลอกให้กลัวเฉยๆ แต่ครั้งนี้เอาถึงตายเลย คือฆ่าไม่เลือกหน้าเลย ไม่เลือกว่าคนนั้นจะเป็นใคร แม้กระทั่งมาริโอ้เองก็ด้วยครับ (หัวเราะ)
แต่ภาค 3 เนี่ยจะเป็นภาคที่บุปผาจะได้สัมผัสกับความรักที่บริสุทธิ์จริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งคนที่นำความรักบริสุทธิ์มาเนี่ยก็จะเป็นพ่อหนุ่มน้อยที่ชื่อหรั่ง (มาริโอ้ เมาเร่อ) ที่จะมองโลกแบบสวยงามซึ่งจะตรงข้ามกับบุปผาที่มองโลกในแง่ร้าย คือคนแง่บวกกับแง่ร้ายมาเจอกันก็กลายเป็นบุปผาภาค 3 นี้”
***ขมวดทุกปมสยองขวัญสั่นฮา***
บุปผา 3.2 ก็จะเป็นตอนต่อจาก 3.1 ซึ่งทั้งหมดก็เป็นภาคสามซึ่งเราแบ่งออกเป็นสองตอนอย่างที่รู้กันแล้ว สำหรับผู้ชมที่ดู 3.1 แล้วเกิดคำถามต่างๆ นานา หรือข้อสงสัยทั้งหลาย ทุกอย่างมันจะมาสรุปจบใน 3.2 นี้ มันจะเน้นเรื่องของการขมวดปมที่คาใจไว้ทุกอย่าง ส่วนไอ้พวกเรื่องความเฮี้ยนความสยองความฮาเนี่ย ตอน 3.2 เนี่ยจะอัดกระหน่ำไม่เลี้ยง จะเอามันซัดกันทุกอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นตลก สยอง น่ากลัว และคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดมันจะมาจบทิ้งทวนที่ 3.2 นี่แหละ
***เซอร์ไพร้ส์…ได้อีก***
นอกจากความน่ากลัว ความสยอง หรือความสนุกที่มีเป็นพื้นฐานของบุปผาราตรีแล้วเนี่ย ส่วนที่ 3.2 จะมีเพิ่มเติมมากขึ้นก็คือนักแสดงรับเชิญ ซึ่งอย่างแรกเลยมันจะเป็นการกลับมาของ “หมวดอังเคิล กับ จ่าบุญถิ่น” ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของหนังไปแล้ว หลายคนถามถึงว่า ตอน 3.1 ตัวละครหมวด-จ่านี้หายไปไหน ก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะจะกลับมาแน่ๆ ใน 3.2 และเป็นแบบเจอผีหลายซีนขึ้นด้วย แล้วก็มีดาราคนอื่นๆ และพวกพี่ๆ ที่เป็นตลกทั้งหลายอีก ซึ่งจริงๆ เราว่าเอาเป็นเซอร์ไพร้ส์ดีกว่า เพราะว่าถ้าบอกหมดเลยมันก็จะไม่สนุก แต่ว่า 3.2 จะเต็มไปด้วยเซอร์ไพร้ส์ว่าดารารับเชิญเป็นใคร มาได้ยังไง คือถ้าเห็นแล้วนี่คงต้องหัวเราะไว้ก่อนแน่ๆ”
***เลิฟสตอรี่ผีกับคน***
ตอน 3.1 มันเป็นการปูตัวละครสองตัวนี้มาก่อนเพื่อที่จะมาสรุปจบที่ตอน 3.2 นี้เลย ตอน 3.2 นี้เป็นเรื่องของเขาเลย จะเป็นบทสรุปของโอ้กับพลอย เราจะได้เห็นความรักที่แบบมีกำแพงกั้นทั้งระหว่างอายุ ระหว่างโลกแห่งความตายกับโลกแห่งความเป็นจริง ความสับสนทางอารมณ์ของความรักที่มันผ่านกระบวนการตายแล้วเกิดใหม่ ความรักนี้มันจะยังคงอยู่หรือเปล่า มันจะเป็นหนังที่จบด้วยความโรแมนติกซึ่งเป็นเลิฟสตอรี่ของสองคนนี้เลย
***ในนามของผีเด็ก***
ถ้าคนเห็นภาพเนี่ย ด้วยความที่มีบุปผาเด็กอยู่เนี่ย ยิ่งทำให้หนังดูรุนแรง ดูหมิ่นเหม่ต่ออะไรหลายอย่างได้ แต่จุดตรงนี้ เรารู้สึกว่า มันมีผลกระทบกับคนดูได้มากที่สุด ซึ่งความรุนแรงเป็นสิ่งที่เราตั้งใจไปหามัน บุปผาตัวเด็กก็จะเป็นตัวถ่ายทอดความรุนแรงของเด็ก ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าความรุนแรงแบบนี้เวลาที่เด็กทำมันจะเพิ่มดับเบิ้ลหรือดูน้อยลง ในความรู้สึกของเราคือ มันน่าสนใจตรงที่เมื่อคนกระทำทารุณทำร้ายเด็กเนี่ย แล้ววิธีที่เด็กตอบโต้เนี่ย ตอบโต้ในระบบของผู้ใหญ่ ในความรู้สึกของเราคือ ถ้าคนดูเห็นการตอบโต้ของเด็กมันคือความสะใจ เวลาได้ตอบโต้คนเลว มันให้ผล 2 แง่มาก บางคนอาจจะดูว่า มีเด็กแล้วเบาลง แต่บางคนถ้ามองไปอีกทาง หนังรุนแรงมาก อันนี้แล้วแต่คนมองเลย เราไม่อาจไปตัดสินใจแทนได้ แต่การมีเด็กเนี่ย มันสะท้อนอะไรหลายอย่างทางสังคมชาวพุทธของเรา
***ยุทธเลิศกระโดดกำแพง...ก้าวใหม่ในที่เดิม***
บุปผาภาค 3 นี่ ถ้าเอาในส่วนของงานกำกับคือมันก็เป็นงานทดลองที่จะทำอะไรอยู่ในที่เดิม เพราะว่าเราเคยเชื่อว่าการทำงานอยู่ในที่เดิมๆ นี่มันน่าเบื่อ การดูอะไรเดิมๆ มันน่าเบื่อ แต่เราอยากลองทำสิ่งที่มันอยู่ในที่เดิมให้มันน่าติดตามไม่น่าเบื่อ เราถือว่ามันเป็นงานท้าทาย ถ้าเราทำได้เราถือว่าเราประสบความสำเร็จ ซึ่งหลังจากทำทั้ง 3.1 และ 3.2 เสร็จ เรารู้สึกว่าเรากระโดดข้ามกำแพงหลายอย่างที่มีความเชื่อว่า โอ๊ย...ภาค 1, ภาค 2, ภาค 3 หนังภาคต่อมันจะอย่างโน้นอย่างนี้ การทำอยู่ที่เดิมๆ ใครจะสนใจ เราคิดว่าเรากระโดดข้ามกำแพงความเชื่ออย่างนั้น พอเวลาเราทำเสร็จ เราก็รู้ว่า เฮ้ย...หนังมันจะสนุกได้มันก็จะสนุกของมันเองไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนหรือว่ามันจะเป็นที่เดิมหรือมันจะอะไรก็ตาม ถ้าสตอรี่ของหนังเรื่องนั้นมันแข็งแรงก็ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งบุปผาราตรีภาคสามที่ถูกแบ่งเป็นสองตอนนี้ เราถือว่าเราได้ทำงานตามโจทย์ที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ รู้สึกว่าเราทำได้ถึงเป้าหมายที่เราต้องการ ฉะนั้นเราจึงเรียกได้ว่าภูมิใจนำเสนอ นั่นคืออยากให้ทุกคนได้ดูบุปผา 3.2 ซึ่งไม่จำเป็นต้องดู 3.1 ก็ได้ เริ่มที่ 3.2 ก่อนแล้วค่อยกลับไปดู 3.1 ก็ไม่เสียหายอะไร
***บุปผา ฟินาเล่***
บุปผา 3.2 เนี่ยมันครบรสแน่ คือตอน 3.1 มันก็ครบรสนะ แต่มันเป็นหนังที่ยังไม่จบไง ครบแต่ยังไม่จบ ต้องมาสานต่อกันที่บุปผา 3.2 เนี่ย ซึ่งจะครบรสจบโดยสมบูรณ์เลย คือบทสรุปของ 3.2 ยังมีสอดแทรกอะไรที่มันเป็นเนื้อหาสาระอยู่ จริงๆ เราทำหนัง เราก็ไม่อยากทำหนังที่เรียกว่าไร้สาระ แต่ขณะที่เราทำจริงๆ เราก็ไม่อยากใส่อะไรที่มันเป็นสาระที่คนไม่ต้องการ การสอดแทรกสาระในความบันเทิงเนี่ย คิดว่าบุปผาราตรี 3.2 ทำได้สมบูรณ์เรื่องหนึ่งเท่าที่เคยทำมาเลย
ประวัติผู้กำกับตัวพ่อ “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค”
จากผลงานการกำกับภาพยนตร์มาตลอดเกือบ 10 ปีอย่าง มือปืน/โลก/พระ/จัน (2544), กุมภาพันธ์ (2546), บุปผาราตรี (2546), สายล่อฟ้า (2547), บุปผาราตรี เฟส 2 (2548), กระสือวาเลนไทน์ (2549), โกยเถอะเกย์ (2550), รัก|สาม|เศร้า (2551) และ อีติ๋มตายแน่ (2551) พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค” เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่มีแบบฉบับการทำงานเป็นของตนเองจนยากที่จะมีใครเลียนแบบได้
เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับน้อยคนของวงการที่มักจะถูกจับตามองอยู่เสมอเมื่อสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมา และถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งกับความสามารถในการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์หลากหลายแนวทั้งตลก, แอ็คชั่น, สยองขวัญ, ดราม่า และโรแมนติก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านคำวิจารณ์และรายได้ด้วยนั่นเอง
ล่าสุด เขากลับมาฮาสยองแอนด์ซึ้งอีกครั้งกับ “บุปผาราตรีฉบับไตรภาค” ภาพยนตร์สยองขวัญคูณสามซูเปอร์เฮี้ยนที่จะมาทำให้คุณได้ “หลอนขั้นเทพ” แน่นอน
ประวัติการศึกษา
ปี 2527-2530 วิทยาลัยช่างศิลป์ (College of Fine Arts)
ปี 2530-2534 ปริญญาตรี คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (Interior Design, Silpakorn University)
ปี 2536-2538 ศึกษาต่อด้านศิลปะที่ The Art Students League of New York (Fine Arts) และเรียนรู้ด้านภาพยนตร์จากการอ่านด้วยตนเองที่ร้านหนังสือใหญ่อย่างบาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes and Noble)
ผลงานการกำกับภาพยนตร์
ปี 2541 เขียนบทเรื่อง โอเนกาทีฟ ที่แกรมมี่ฟิล์มนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง รักออกแบบไม่ได้ ที่ได้รับคำชื่นชมและกล่าวขวัญถึงทุกวันนี้
ปี 2544 แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง มือปืน/โลก/พระ/จัน ที่กวาดรายได้ไปกว่า 120 ล้านบาท
ปี 2546 เรียกเสียงฮือฮากับการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าเรื่อง กุมภาพันธ์ ที่เดินทางไปถ่ายทำไกลถึงนิวยอร์ค
ปี 2546 ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์สยองขวัญไม่ซ้ำแบบใครเรื่อง บุปผาราตรี ที่กวาดรายได้ไปเกือบ 50 ล้านบาท
ปี 2547 ตามติดด้วยการเขียนบทและกำกับ สายล่อฟ้า ภาพยนตร์กั๊ก โรแมนติก แอ็คชั่น คอเมดี้ ที่กวนได้ใจกวาดรายได้ไปถึง 50 ล้านบาท
ปี 2548 สานต่อต้นฉบับความสยองขวัญด้วยการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง บุปผาราตรี เฟส 2 ที่กวาดรายได้แซงหน้าภาคแรกอย่างถล่มทลายไปถึง 70 ล้านบาท
ปี 2549 พลิกคาแร็คเตอร์กระสือสาวในเรื่องราวความรักที่หวานปนสยองได้อย่างลงตัวกับการเขียนบทและกำกับเรื่อง กระสือวาเลนไทน์
ปี 2550 สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในเรื่องรักผิดผีของสองคาวบอยหนุ่ม ณ ปั๊มน้ำมันร้างได้อย่างฮาสนั่นเมืองกับการเขียนบทและกำกับเรื่อง โกยเถอะเกย์
ปี 2551 กลับมาสร้างความซาบซึ้งตรึงใจด้วยการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์รักน้ำตารินเรื่อง รัก|สาม|เศร้า ที่ส่งให้ “ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ” คว้ารางวัลสุพรรณหงส์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปครองได้อย่างสวยงาม
ปี 2551 แท็คทีมกับเดี่ยวไมโครโฟนตัวพ่อ “อุดม แต้พานิช” ที่รับหน้าที่เขียนบทและแสดงนำในภาพยนตร์โรแมนติกปนขำที่บ่มเพาะมากว่า 3 ปี เรื่อง อีติ๋มตายแน่ (งานนี้ยุทธเลิศขอกำกับอย่างเดียว)
ปี 2552 กลับมาสร้างความเฮี้ยนฮาสยองขวัญอีกครั้งกับหนังผีสาวตัวแม่ฉบับไตรภาค ที่คราวนี้ทำเก๋แหวกแนว แบ่งเป็น 2 ตอนเพื่อความสะใจใน “บุปผาราตรี 3.1” และ “บุปผาราตรี 3.2” โดยได้จับเอาหนุ่มฮ็อตแห่งยุคอย่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” มาให้ผีสาวตัวแม่อย่าง “พลอย เฌอมาลย์” เชือดเลือดสาดกันเลยทีเดียว
แท็คทีมเฮี้ยนได้ฮาดี “บุปผาราตรี 3.2”
ผีบุปผา (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) — ต้นฉบับความเฮี้ยนดีกรีผีสาวตัวแม่ที่ยากจะมีผีใดกล้าเลียนแบบ ความรักที่สุดแสนอาภัพ ความเจ็บช้ำจากรักลวงหลอก หลอนให้เธอ-บุปผาราตรีต้องกลับมาเอาคืนเพศผู้...อย่างสาสม
เมื่อ “พลอย เฌอมาลย์” คืนบัลลังก์สยองแบบยกกำลังสาม ...แร๊งงงงงงงง!!! จนผีปลอมตัวไหน ๆ ก็ต้องถอยไปไกล ๆ
“บุปผาเป็นคาแร็คเตอร์ที่เหมือนกับเป็นอมตะไปแล้ว ก็ตั้งแต่ภาคแรกมาภาคนี้ก็ 6 ปีไปแล้ว แล้วก็ประสบความสำเร็จทุกภาค แล้วผีบุปผานี่มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนมากๆ ด้วย สำหรับพลอยเองนะคะ ย้อนไปตั้งแต่ภาคแรก ครั้งแรกที่ได้อ่านก็ปฏิเสธไปด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากเล่นหนังผีเพราะว่ายุคนั้นหนังผีเริ่มเกร่อแล้วเอะอะอะไรก็หนังผีๆ แต่เราก็ได้ให้โอกาสตัวเองที่จะเข้าไปหาพี่ต้อม ได้อ่านบท ได้พูดคุยกัน ก็รู้สึกหลงรักในตัวของบุปผาทันทีเลย ชอบแนวคิด แนวการทำงานของพี่เค้า แล้วก็ชอบคาแร็คเตอร์ของบุปผามาก เป็นผีที่มีเสน่ห์ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็อาละวาด แต่มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนมาก ก็ดีใจและภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ เลือกไม่ผิดจริงๆ เพราะเป็นบทที่ดีมากๆ ค่ะ
ในตอน 3.2 นี้ นอกจากจะมีทั้งความสนุกสนานและก็น่ากลัวแล้วเนี่ย ก็ยังมีอีกพาร์ทหนึ่งที่ชัดเจนมากขึ้นด้วยก็คือ ความรักความโรแมนติกของตัวหรั่งที่แอบรักบุปผา และความรู้สึกของบุปผาที่มีให้กับหรั่ง มันจะมีให้เห็นมากขึ้น ก็ซึ้งเลยทีเดียว เพราะในเรื่องบุปผาจะต้องฆ่าโอ้ แต่ว่าก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรอย่างนี้ เราก็จะได้เห็นบทสรุปในเรื่องราวความรักของบุปผากับหรั่งว่าจะสิ้นสุดหรือลงเอยกันยังไง เพราะทุกอย่างมันจะมาขมวดปมในตอนนี้แหละค่ะ”
ประวัติย่อ: พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2525 น้องสาวคนเดียวของนักแสดงสาว นุ่น-สินิทธา พลอยเริ่มเข้าวงการจากการถ่ายโฆษณาตอนอายุ 11 ขวบ จากนั้นก็มีงานถ่ายมิวสิควิดีโอและถ่ายโฆษณา เรื่อยมาจนขึ้นแท่นเป็นนางเอกภาพยนตร์และละครมากมายหลายเรื่อง
ด้วยความสามารถที่หลากหลาย เธอผ่านงานในวงการบันเทิงมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นละคร, ภาพยนตร์, ถ่ายแบบ, พิธีกร และดีเจ จนปัจจุบันชื่อของเธอสามารถขึ้นแท่น “นักแสดงหญิงแถวหน้าของเมืองไทย” ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ผลงานภาพยนตร์:Goodbye Summer เอ้อเหอเทอมเดียว (2539), สตางค์ (2543), แมนเกินร้อย แอ้มเกินพิกัด (2546), เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล (2546), บุปผาราตรี (2546), The Park สวนสนุกผี (2546), บุปผาราตรี เฟส 2 (2548), รักแห่งสยาม (2550), สี่แพร่ง ตอน Last Fright (2551), บุปผาราตรี 3.1 (2552), บุปผาราตรี 3.2 (2552)
หรั่ง (มาริโอ้ เมาเร่อ) -หนุ่มนักวาดการ์ตูนผีที่ดันมองเห็นผีได้ด้วยตาเปล่า ทำให้เขาต้องย้ายหนีผีมาตลอด จนกระทั่งเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้เขาต้องเข้ามาอยู่ที่ออสการ์อพาร์ตเม้นต์ สถานที่เลื่องชื่อถึงความเฮี้ยนของผีสาวตนหนึ่ง
นั่นทำให้เขาได้มาพบกับ “พี่บุปผา” อุบัติรักเมื่อครั้งยังเด็ก โดยหารู้ไม่ว่าเธอคนนั้นได้กลายร่างเป็น “ผีบุปผา” ไปแล้ว และกำลังจะอุบัติหลอนให้แก่เขา แบบเฮี้ยนแรงลึกอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
“มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่ยังคงฮ็อตและเรียกเสียงกรี๊ดได้อยู่เสมอ ครั้งนี้เสียงกรี๊ดจะดังขึ้นเป็นหลายเท่า เมื่อต้องเอาใจช่วยให้หรั่งตาสว่าง และหนีพ้นจากผีสาวสวยสยองตั้งแต่ต้นจนจบ
“ถ้าเป็นด้านคาแร็คเตอร์ก็ยังคงเป็นหนุ่มนุ่มลึกนิ่งๆ หน่อย แต่ถ้าเป็นพัฒนาการด้านเรื่องราวของหรั่งเลยเนี่ย ก็จะแบบว่าบอกในสิ่งที่ทุกคนคงไม่คาดคิดเลยน่ะครับ อย่างภาคที่แล้วเนี่ย หรั่งยังไม่รู้ว่าจริงๆ บุปผาน่ะตายไปแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่สามารถมองเห็นวิญญาณหรือมองเห็นผีอะไรอย่างงี้ได้ อาจจะเป็นเพราะความรักบังตาก็ได้ครับ เพราะเขาแอบหลงรักพี่บุปผามาตั้งแต่เด็กไงครับ ก็เลยทำให้เขามองบุปผาว่าเป็นคนๆ หนึ่ง จนกระทั่งมาในตอน 3.2 นี่แหละครับที่หรั่งเขาเริ่มเห็นเริ่มรู้แล้วว่า พี่บุปผาของเขาเป็นผีบุปผาไปแล้วครับ แล้วหรั่งก็ยังต้องมาเจอกับบางสิ่งที่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน น่ากลัวและสยองมากขึ้นด้วยครับ ต้องเข้าไปดูกันนะครับ”
ประวัติย่อ:หนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน-เยอรมนี มาริโอ้ เมาเร่อ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2531 อาศัยอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่เล็กจนโต เริ่มเข้าวงการด้วยการถ่ายโฆษณา และถ่ายแบบในนิตยสารต่างๆ จนกลายเป็นนายแบบวัยรุ่นที่มาแรงที่สุดแห่งยุค ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เข้ากับคาแร็คเตอร์ทำให้ผู้กำกับ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” เลือกเขาให้มารับบท “โต้ง” เด็กหนุ่มวัยค้นหาตัวเองผู้กำลังประสบปัญหาครอบครัวและความรักที่เขาต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งให้กับชีวิตของเขาในภาพยนตร์ดราม่าเรื่องเยี่ยมแห่งปี “รักแห่งสยาม” ที่ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงและคำชื่นชมอย่างมากมายหลังจากภาพยนตร์เรื่องแรกออกฉาย มาริโอ้ก็โด่งดังเป็นพลุแตก แจ้งเกิดขึ้นแท่น “นักแสดงวัยรุ่นสุดฮ็อตอันดับ 1” ของประเทศอย่างทันทีทันใดจนถึง ณ ขณะนี้
ผลงานภาพยนตร์:รักแห่งสยาม (2550), เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน (2551), ฝัน-หวาน-อาย-จูบ (2551), บุปผาราตรี 3.1 (2552), บุปผาราตรี 3.2 (2552)
ผีปลา (ด.ญ. นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ) —เด็กหญิงผู้น่าสงสาร มีชีวิตอยู่ในวังวนแห่งความโชคร้ายซ้ำซ้อน อุบัติเหตุ
จากการถูกกลั่นแกล้งทำให้เกิดเรื่องอันน่าสะพรึงเกินคาดคิดขึ้น เมื่อเธอระลึกชาติได้ว่า เธอคือ “บุปผาราตรี ผีสาวเฮี้ยนรักตัวแม่” กลับชาติมาเกิด และแล้วเวลาแห่งการทวงแค้นก็มาถึง
น้องพูกันโผล่มาขโมยซีนจนได้รับคำชื่นชมมาแล้วจาก “บุปผาราตรี 3.1” เธอลับคมมีดพร้อมแล้วในการกลับมากรีดความเฮี้ยน...แร๊งงงงง เอาใจแฟนๆ อีกครั้งกับ “บุปผาราตรี 3.2”
“ปลาเค้ามีพ่อที่ไม่ใช่พ่อจริงๆ ของเขา เป็นพ่อเลี้ยงชอบตบตีไม่เคยดูแล แล้วที่โรงเรียนพวกเพื่อนๆ ก็จะชอบแกล้ง แล้วทีนี้เพื่อนมาแกล้งผลักตกบันไดในภาค 3.1 ก็เลยระลึกได้ว่าชาติที่แล้วเราเคยเป็นบุปผา ก็เลยไปที่ออสการ์อพาร์ตเม้นต์ค่ะ แต่ก็ไปถูกฆ่าที่ห้อง 609 อย่างเดิมค่ะ ก็เลยมีทั้งวิญญาณของบุปผาวิญญาณเก่าแล้วก็วิญญาณผีปลาที่เป็นวิญญาณใหม่ผสมกันอยู่ค่ะ คือภาคก่อนบุปผาไม่ฆ่าคน แต่ภาคนี้มาฆ่าคนค่ะ คือโหดตรงที่ชอบฟันคนนี่แหละค่ะ ผีตัวนี้นี่มันจะรักมีดโกนของมันมาก ไม่เคยขาดไปไหนเลย มีติดอยู่กับมือตลอดเวลา
มุขก็มีหลายมุขค่ะ คือหนูจะดูจากหนังสืออะไรเอ่ยยังงี้ค่ะ แล้วตอนแรกในหนังไม่มีมุขถามตอบอย่างงี้หรอกค่ะ แต่พอดีว่าหนูชอบเอาคำถามไปทายที่กองถ่าย ลุงต้อมเขาก็เห็น เขาก็เลยเอาคำถามเนี่ยไปอยู่ในเรื่องซะเลย ถ้าใครตอบคำถามไอ้ผีเด็กตัวนี้ไม่ได้ก็จะถูกกรีดหน้ากรีดตัว กรีดไปทั้งตัวเลยค่ะ ในตอน 3.2 ก็ยังมีมุขอย่างงี้อยู่ค่ะ”
หมวดอังเคิล-จ่าบุญถิ่น (อดิเรก วัฏลีลา-บุญถิ่น ทวยแก้ว)— คู่หูตำรวจจอมป่วนฮา ที่น่าจะไปตั้งคณะตลกมากกว่ามาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างนี้ ด้วยบุญทำกรรมแต่งมาอย่างดี ทำให้ทั้งคู่ต้องเข้ามาสืบคดีในออสการ์อพาร์ตเม้นต์ แต่จนแล้วจนรอด เรื่องคดีก็ไม่เคยไปไม่ถึงไหน เพราะต้องใส่เกียร์ถอยนำขบวนวิ่งหนีผีเสียก่อนทุกครั้ง...ซะงั้น
ถูกถามถึงกันอย่างอื้ออึงว่า หายตัวไปไหนใน “บุปผาราตรี 3.1” ขาดทั้งคู่ไปก็เหมือนรสชาติความฮาอันเป็นเอกลักษณ์ถูกตัดตอนไป แต่ช้าก่อน พวกเขาทั้งคู่กลับมาแล้ว และกลับมาสาดสีสันกันอย่างเต็มที่ หนีผีถี่กว่าที่เคย กับ “บุปผาราตรี 3.2” เวอร์ชั่น “หนีจริง เหนื่อยจริง วิ่งเร็วกว่าเดิม” จนแฟนหนังจะต้องฮากระตุกมากขึ้น...แน่นอน
(บุญถิ่น) “เออ บุปผา 3.1 ไม่ได้เล่นนะ อย่าไปดู เฮ้ย...ไม่ใช่ ยังไงต้องดูครับ จะได้ติดตามต่อ 3.2 ได้ ซึ่งพวกผม 2 คนได้เล่นแล้วครับ ไม่ว่าจะไปรับเชิญในหนังเรื่องไหน ก็ยังไม่เด่นเท่าในเรื่องนี้ อันนี้ถือเป็นจุดเด่นของหนังบุปผาราตรีได้เลย นอกจากคู่หมวดจ่าแล้ว ก็จะมีนักแสดงรับเชิญเด่นๆ คาแร็คเตอร์แปลกๆ มานำเสนอ ผมคิดว่าตรงนี้คือสีสันที่คนดูเขาชอบ แล้วเขาก็ติดตาม นอกเหนือไปจากตัวเนื้อเรื่องแล้วนะครับ”
(อังเคิล) “นั่นเป็นลูกเล่นของผู้กำกับเขาครับ ยังไงตัวหนังบุปผาราตรีเนี่ยไม่ว่าภาคไหนก็ตาม มันจะมีทีเด็ดเฉพาะตัวในแต่ละภาค แต่ถ้าเป็นหมวดจ่า 2 คนนี้โผล่มาก็ถือว่าของแท้ได้เลย ใช่มั้ย ก็รู้สึกสนุกดีครับ เหมือนกับเราเกิดมาจากบทนี้เลยนะ ต่อไปนี้เราจะไม่เล่นอย่างอื่นเลย รู้สึกว่าถ้าภาคไหนไม่มีเรา เราก็รู้สึกจะเหงาๆ นะ ไม่ใช่หนังเหงาๆ นะ แต่เรารู้สึกว่า เออ...อยากมีส่วนร่วมในทุกๆ ภาคเลย แต่จริงๆ 3.1 กับ 3.2 มันก็ภาคเดียวกัน ก็ถือว่ามีเราทั้งคู่ทุกภาคนั่นแหละครับ บุปผา 3.2 เจอเราแน่ครับ จริงๆ แล้วมันเป็นอะไรที่เราก็วิ่งหนีผีบุปผากันมาตั้งแต่ภาค 1 แล้วก็คงเป็นอะไรที่ต่อเนื่องกับการวิ่งหนีผีอย่างเชี่ยวชาญ เป็นภารกิจเพื่อชาติที่เราปฏิเสธไม่ได้ด้วยสิ ก็เป็นสีสันที่ผมคิดว่า หนังบุปผาราตรีทุกภาคขาดหมวดจ่าคู่นี้ไปไม่ได้เลยครับ (หัวเราะ)”
เซียนต้อม (ค่อม ชวนชื่น) — เซียนพนันตัวพ่อสัญชาติไทยกับคอสตูมสุดจี๊ด สิงสถิตย์ประจำการอยู่ในบ่อนออสการ์ของเจ๊สาม คอยหลอกกินเงินนักพนันไฮโลหน้าโง่ โดยมีลูกกรอกประจำตัวคอยช่วยโกง
หนึ่งในสีสันใหม่ๆ ของ “บุปผาราตรีฉบับไตรภาค” ที่ยากจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ เมื่อคาแร็คเตอร์นักพนันจอมเก๋าเกมของ “ค่อม ชวนชื่น” ปรากฏกายบนจอและปล่อยมุขฮากระจายไม่ยั้ง
“มันจะมีตามอีกนะ ที่คอสตูมเป็นอย่างนั้นมันคงเป็นวัฒนธรรมของเซียนมั้ง ซึ่งพี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเซียนไพ่ถึงได้แต่งตัวอย่างนี้ มันเป็นสไตล์ของคาแร็คเตอร์ คือความไม่ปกตินั่นแหละ (หัวเราะ) ถ้าอะไรที่มันปกติ เราก็ไม่รู้จะทำไปทำไม มันไม่น่าสนใจ เออ...ถ้ามันแต่งตัวแบบนี้ มันคงน่าสนใจ ซึ่งมันก็ได้ผล คนก็สงสัยว่าทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ คือเป็นเซียนไพ่เซียนไฮโล ต้องแต่งตัวยังไงล่ะ แต่ในเรื่องนี่มันคือภาพที่ไม่เคยเห็นใช่มั้ย คือเราก็อยากนำเสนออะไรที่มันประหลาดๆ น่ะ” ผู้กำกับยุทธเลิศพูดขำๆ ถึงประเด็นคอสตูม...ตู้มได้อีกชุดนั้น
เจ๊สาม (ฉันทนา กิติยพันธ์) — เจ๊ใหญ่คนใหม่ประจำออสการ์อพาร์ตเม้นต์ มือไว ปากไว ใจเค็มไม่แพ้ “เจ๊สี่” น้องสาวที่จากไป เจ๊สามจัดการเรโนเวทออสการ์ฯ ใหม่หมดจด พร้อมเปิดบ่อนพนันลับๆ ให้เป็นสันทนาการเถื่อนของผู้พักอาศัยและผู้คนในละแวกนั้น แถมเจ๊สามยังคึกดังโคถึกอินเทรนด์ไม่แพ้สาวรุ่นๆ เมื่อเธอแอบเป็นกิ๊กกับ “ด๊อกเตอร์คง” อดีตหมอผีชื่อดังที่แปรสถานะของตนเป็นผู้ว่าเมืองกรุงคนใหม่ซะด้วย
ได้ศิลปินมืออาชีพรุ่นใหญ่อย่าง “แม่แดง ฉันทนา กิติยพันธ์” มารับบท “เจ๊สาม” อย่างน่าเชื่อถือ จนเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สร้างสีสันและน่าติดตามให้กับเรื่องได้เป็นอย่างดี ใน “บุปผาราตรี 3.2” เธอยังมีเรื่องที่ต้องกลับมาจัดการและถูกสะสางไปด้วยในตัว
“บทเจ๊สามจะเป็นผู้หญิงที่ห้าวๆ เพราะต้องควบคุมดูแลลูกน้องผู้ชายที่อยู่ในบ่อน คือเป็นเจ้าของบ่อนพร้อมกับเป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ด้วย ได้เงินทั้งขึ้นทั้งล่อง เจ๊สี่น้องสาวเสียไปในภาคที่แล้วเจ๊สามก็เลยต้องมาคุมแทน จะต้องเป็นผู้หญิงที่ห้าวไม่งั้นคุมพวกนี้ไม่ได้ค่ะ ปากก็ร้ายมาก มันต้องเป็นอย่างนั้นเพราะอยู่กับคนพวกนี้ และก็จะเจอปัญหากับคนที่เข้ามาเล่นเป็นประจำ จนกระทั่งมาเจอปัญหาผีอาละวาด แล้วคนก็จะร่ำลือไปเรื่อยๆ อพาร์ตเม้นต์ก็จะเสีย ทางบ่อนเราก็จะเสียชื่อเหมือนกัน เจ๊สามก็เลยจัดการหาหมอผีมาปราบ ก็ได้หมอคงหมอผีที่สนิทกับอพาร์ตเม้นต์นี้มากๆ มาจัดการปราบผี จนเราเป็นกิ๊กกับเค้าซะงั้นค่ะ ก็เป็นเรื่องสนุกๆ ฮาด้วย สยองด้วย
โดยเฉพาะตอน 3.2 มันก็จะเข้มข้นยิ่งขึ้นนะคะ ไม่ลดหย่อนไปกว่า 3.1 เลย ยิ่งเข้มข้นขึ้นทั้งเนื้อเรื่องและการแสดง แล้วก็สนุกๆ เป็นหนังผีไม่เครียด และดูสนุกมากค่ะ
คุณต้อมผู้กำกับก็ทำงานไปเรื่อยๆ สบายๆ สนุกสนานค่ะ แล้วเขาก็จะชอบเพิ่มบทสดๆ หน้ากอง เป็นคนที่มีรายละเอียดเยอะพอสมควร ดูเหมือนจะไม่เยอะแต่พอเล่นแล้วก็มีเหมือนกันนะ ตรงนี้เสียงแม่แดงหนักไปนะเบาไปนะ อะไรอย่างเนี้ยเขาก็จะมีบอก การบอกอย่างนี้ก็ดี เป็นสิ่งที่เขาต้องการเราก็ต้องเล่นให้ได้แบบนี้ เขาก็จะคิดจะวาดไปตลอดค่ะ ไม่อยู่นิ่ง ไม่เหมือนรูปร่างตัวเองเลย ตัวนิดเดียว แต่ความคิดอะไรจะขนาดนั้น ความคิดใหญ่โตมาก”
ด๊อกเตอร์คง / หมอคง (สมเล็ก ศักดิกุล) - หมอผีคนสนิทประจำออสการ์อพาร์ตเม้นต์ เขาสร้างผลงานจนเป็นที่เลื่องชื่อจากการปราบผีบุปผาได้เป็นผลสำเร็จ แต่ลูกบ้าสุดพิเรนทร์ของหมอผีคนนี้ก็ยังไม่หมด เขาจัดการเปลี่ยนลุค-แปลงโฉมตัวเองครั้งใหญ่ “สร้างภาพใหม่” ไม่แพ้ออสการ์อพาร์ตเม้นต์
มาละเหวย มาละวา จาก “หมอผีคง” กลายเป็น “ด๊อกเตอร์คง เบอร์ 3” ลงสมัครเป็น “ผู้ว่าฯ” มันซะเลย และด้วยสโลแกน “หน้าเหลี่ยมหน้าหล่อพอกันที คราวนี้ด๊อกเตอร์คงหน้าหนวดขออาสาปราบคนโกง” ก็ทำให้เขาได้รับเลือกเป็น “ผู้ว่าเมืองกรุงคนใหม่” ซะงั้น เอากะเขาสิ
“หมอคง หมอผีที่เคยเป็นคนปราบบุปผาในภาค 2 เนี่ย พอมาในภาค 3 คาแร็คเตอร์ก็จะเปลี่ยนไปเลย ไม่มีใครคิดว่าจะเปลี่ยนไปทางไหน แต่ ณ วันหนึ่ง กรุงเทพมหานครสิ้นไร้คนดีแล้วหรือไงไม่ทราบ หมอคงลงสมัครผู้ว่า แล้วก็ดันได้เป็นผู้ว่าฯ ซะอีก (หัวเราะ) แค่นี้ก็ฮาละ แต่มันก็ยังต้องมาปราบผีอยู่ดีนี่สิคือปัญหา หมอคงเลยจำเป็นต้องเลือกว่า ชีวิตที่รุ่งเรืองในการเป็นหมอผี กับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ทางการเมืองเค้าต้องเลือกเอาว่าจะเอาทางไหน แต่ไม่ว่าทางไหน มันก็ฮาได้ทั้งนั้นสำหรับคาแร็คเตอร์นี้ของพี่สมเล็กนะครับ ต้องมาฮากันทุกภาคครับ” ผู้กำกับยุทธเลิศสร้างสรรค์คาแร็คเตอร์ดีมีฮาอีกแล้วครับท่าน