กรุงเทพฯ--3 ส.ค.--จัสเทลฯ
ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวไม่มาก สืบเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่งผลให้วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้คนหันมาใช้อินเตอร์เน็ตเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตประจำวันกันมากขึ้น เช่น การค้นหาข้อมูล การอ่านหนังสือพิมพ์ การดูหนังฟังเพลง การซื้อขายสินค้า การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งในแง่หนึ่งก็ส่งผลดีและให้คุณประโยชน์หลายประการแก่ผู้ใช้ แต่ในความสะดวกสบายนั้นก็มีภัยอันตรายแฝงมาด้วยเช่นกัน
และจากการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายในวงกว้าง จึงเกิดปัญหาตามมา หนึ่งในนั้น คือ ภัยทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. การโจรกรรมหรือขโมยข้อมูล 2. การปลอมแปลงข้อมูล และ 3. ภัยที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ การปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล โดยเครื่องมือแฮคเกอร์ใช้ในการโจมตีคือ DDoS (Distributed Denial of Service) และ Botnets อย่างเช่นกรณีตัวอย่างของวินาศกรรมออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ที่เพิ่งผ่านมาล่าสุด ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลของประเทศยักษ์ใหญ่เสียหายอย่างมหาศาล จากการทำงานของแฮคเกอร์ที่เจาะระบบโดยการส่งไวรัส หรือ มัลแวร์ เข้าไปควบคุมเครื่องของเหยื่อ (Bots/Botnets) โดยที่เจ้าของเครื่อง อาจไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์ของเขาถูกควบคุม หลังจากนั้น แฮคเกอร์จะทำการสั่งให้เครื่องทั้งหมดที่ถูกควบคุม (Botnet army) ซึ่งอาจจะมีมากหลายร้อยเครื่องโจมตีเครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมายหรือระบบเป้าหมายบนอินเตอร์เน็ต โดยการสร้างข้อมูลขยะขึ้นมา จากนั้นส่งไปที่ระบบเป้าหมาย กระแสข้อมูลที่ไหลเข้ามาในปริมาณมหาศาล (Flooding) ส่งผลให้ระบบเป้าหมายต้องทำงานหนักขึ้นและช้าลงเรื่อยๆ เมื่อเกินกว่าระดับที่รับได้ ในที่สุดก็จะหยุดการทำงานลง อันเป็นเหตุให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้บริการระบบเป้าหมายได้
ทั้งนี้ การโจมตีส่วนมากมักเกิดจากคู่แข่งทางธุรกิจ ที่ทำการปิดกั้นการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้าที่มาใช้บริการ กับคู่แข่งทางธุรกิจ หรือผู้ก่อการร้ายที่ทำการโจมตีด้วยวัตถุประสงค์ทางการเมือง โดยจะโจมตีระบบราชการฐานข้อมูลสำคัญของประเทศ สำหรับในเมืองไทยก็เพิ่งเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น โดยเว็บไซต์ของโรงแรมแห่งหนึ่งถูกปิดลง ทำให้ลูกค้าไม่สามารถจองห้องพักผ่านระบบออนไลน์ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก และหากเกิดขึ้นกับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีการส่งธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันเป็นหลักล้านบาท เหตุเพราะระบบล่มไปสักระยะหนึ่ง ความเสียหายคงประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน
จากความเสียหายดังกล่าวที่เกิดขึ้นในวงกว้าง ไม่เพียงแต่เป็นบทเรียนให้กับประเทศสหรัฐอมริกา และเกาหลีใต้ ที่ถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ยังก่อให้เกิดกระแสระดับโลกในการหามาตรการป้องกันความปลอดภัยของฐานข้อมูลในระบบออนไลน์ ซึ่งหลายบริษัทคิดว่าเพียงมี Firewall หรือ IDS (Intrusion Detection System) เท่านั้นก็สามารถปกป้องบริษัทจากภัยทั้งปวงแล้ว ซึ่งอาจจะยังเป็นความคิดที่ไม่ปลอดภัยนัก เนื่องจากแฮคเกอร์ก็ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาวิธีและเทคนิคใหม่ๆ ในการโจมตีระบบเช่นกัน อุปกรณ์ที่คุณซื้อไปในวันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่มีค่าอะไรในการป้องกันระบบของคุณเลยก็ได้!!
ดังนั้น การดูแลระบบจากการโจมตีจาก DDoS หรือที่เรียกว่า Managed Distributed Denial of Service (mDDoS) นั้นจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย และ สามารถรองรับการโจมตีระดับ Gigabyte ไปจนถึงระดับ Terabyte นอกจากอุปกรณ์แล้วยังจำเป็นต้องมีบุคลากรที่คอยตรวจสอบการโจมตี และให้การช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงต้องมีโครงข่ายขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถตรวจสอบการโจมตีได้จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมักเกิดจากผู้ให้บริการระดับ Tier-1 เนื่องจากมีโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ มีการบริการหลังการขายที่รองรับลูกค้าได้ตลอดเวลา ดังเช่น บริษัท จัสเทล เน็ตเวิร์ค ในเครือ จัสมิน กรุ๊ป ได้จับมือกับบริษัท ทาทา คอมมิวนิเคชั่น ยักษ์ใหญ่ธุรกิจการสื่อในประเทศ อินเดีย เปิดให้บริการ mDDoS ด้วยเทคโนโลยีและบริการตรวจเช็คความเคลื่อนไหวของการไหลเวียนข้อมูลโดยทีมช่างมืออาชีพ
ด้วยบริการ mDDoS ที่ได้ให้บริการแล้วในประเทศไทย ด้วยมาตรฐานระดับ Tier-1 ของ จัสเทลฯ นี้เองที่จะช่วยให้ท่านสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่าง “วางใจ .. ไร้กังวล”!!