กรุงเทพฯ--3 ส.ค.--วีม คอมมูนิเคชั่น
ประเด็นสำคัญในการลงทุนทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านพื้นฐาน — วันนี้ราคาทองคำยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังตัวเลข GDP ไตรมาส 2/09 ของสหรัฐหดตัวน้อยกว่าคาดที่ -1% + ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเขตชิคาโกก็เพิ่มขึ้นพอสมควร แต่ตัวเลขคาดการณ์การจ้างงานในสัปดาห์หน้า ได้บ่งชี้ว่าจะยังคงมีคนตกงานจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญในอีกหลายเดือนก่อนที่จะหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
กรอบการเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคราคาทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะสั้น — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะสั้นเป็นบวก, MACD 30 นาทีเคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกทว่าได้ตัดเส้น Trigger จากด้านบนทำให้ดูราคาเป็นลบ, MACDF เคลื่อนตัวอยู่ในแดนลบทำให้ดูราคาเป็นขาลง, Fast Stochastic เคลื่อนตัวขึ้นทำให้ราคาดูเป็นบวก, RSI 30 นาทีอยู่ที่ระดับ 66.186 ถือเป็นระดับ ถือเป็นระดับ overbought อยู่เล็กน้อยทำให้ดูว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง, ทิศทางตลาดระยะสั้นดูเป็น Sideways-up แนวรับแนวต้านของวันอยู่ที่ $938-$963 ค่าเงินบาทในวันนี้อยู่ที่ระดับ ฿33.91-฿34.10
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะกลาง — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะกลางยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, RSI อยู่ที่ระดับ 64.227 ถือเป็นระดับ overbought อยู่เล็กน้อยทำให้ดูว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง, MACD เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวก ทำให้ดูราคาเป็นบวก, MACDF เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกทำให้ดูราคาเป็นบวก, Fast Stochastic ขึ้นจากด้านล่างเส้น Trigger ทำให้ราคามีโอกาสบวกในช่วงนี้, ทิศทางตลาดระยะกลางยังคงดูเป็นตลาด Sideways โดยจะใช้แนวต้านที่ $960 เป็นต้านระยะกลางที่สำคัญและแนวต้านราคาระยะกลางต่อไปอยู่ที่ $990 ส่วนแนวรับระดับกลางอยู่ที่ $927 และ $912
ราคาทองคำแท่งที่ร้านค้าปลีกปิดล่าสุด (เส้นสีแดง = 15,150 บาท) ซึ่งต่ำกว่าราคาทองคำแท่ง (SPOT) ในตลาดโลกเช้านี้ (เส้นสีน้ำเงิน = 15,410 หรือที่ $953.60) แสดงถึงราคาทองคำแท่ง ณ. หน้าร้านขายปลีก มีส่วนลดจากราคาในตลาดโลก อยู่ 260 บาท ขณะที่ราคาของ GFQ09 เมื่อวานนี้ปิดตลาดอยู่ที่ 15,260 บาท จะมีส่วนลดจากราคาในตลาดโลก อยู่ราว 150 บาท ซึ่งมีส่วนลดน้อยกว่าที่ร้านค้าปลีก ดังนั้น การเปิดสถานะขาย (Short) GFQ09 แล้ว ซื้อ (Long) ทองคำแท่งที่ร้านทอง จะทำให้มีส่วนต่างของกำไรที่คาดหวัง อยู่ที่ 260-150 = 110 บาทต่อทองคำแท่ง 1 บาท จึงยังไม่คุ้มค่ากับค่าคอมมิชชั่น (ประมาณ 120 บาทต่อ 1 บาททอง) และดอกเบี้ยในการหากำไรจากส่วนต่างราคาได้ในวันนี้
ข่าวสารสำคัญเพื่อประกอบการลงทุน
ปัจจัยบวก
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แท้จริงขั้นต้นประจำไตรมาส 2 ปี 2009 อยู่ที่ -1.0% แม้จะน้อยกว่าที่คาดไว้ที่ -1.5% แต่ก็เป็นการทรุดตัวจากภาคธุรกิจและการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ พร้อมกับปรับลด GDP ไตรมาสแรกปีนี้ไปที่ -6.4% ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีต้นทุนการจ้างงานประจำไตรมาส 2/09 เพิ่มขึ้น +0.4% มากกว่าที่เพิ่มขึ้น +0.3% ในไตรมาสแรก ส่วนสมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติ (NAPM) จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนก.ค. มาที่ 43.4 ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นจาก 39.9 ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจได้พ้นจุดต่ำสุดแล้วและนักลงทุนพร้อมเสี่ยงมากขึ้น
ค่าเงินดอลลาร์ — ดอลลาร์อ่อนค่าลง +$0.0191 เมื่อเทียบเงินยูโร มาที่ $1.4262 จากที่ปิด $1.4071 เมื่อวันก่อนหน้า หลังเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวน้อยกว่าคาด + ข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐในเดือนก.ค.ที่เพิ่มขึ้นมากเกินคาดได้ช่วยหนุนความต้องการเสี่ยง และสกัดกั้นความต้องการซื้อดอลลาร์ในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ขณะที่เช้านี้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย -$0.0010 มาที่ $1.4252
ราคาน้ำมันดิบ — ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ก.ย. พุ่งขึ้น +$2.51 มาปิดที่ $69.45 ต่อบาร์เรล หลังตัวเลข GDP บ่งชี้ถีงภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังอ่อนแรงลง + ปัญหาในโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทบีพีและโทเทลในยุโรป ต่อจากบริษัทซูโนโคปิดเครื่องผลิตน้ำมันเบนซินเครื่องหนึ่งในฟิลาเดลเฟีย ขณะที่เช้านี้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ก.ย. ยังขยับขึ้นต่ออีก +$0.10 มาอยู่ที่ $69.55 ต่อบาร์เรล
ปัจจัยลบ
ค่าเงินบาท — ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น -4 สต. มาปิดที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ จากที่ปิด 34.04 บาทต่อดอลลาร์เมื่อวันก่อนหน้า แม้แบงก์ชาติจะเข้ามาแทรกแซงให้อยู่แถวๆ 34.00 เพราะโดยรวมๆ มองว่าดอลลาร์น่าจะอ่อนค่าลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาดี ขณะที่จีนเองก็ไม่ได้เปลี่ยนนโยบายเรื่องสินเชื่อ แต่จะเข้มงวดให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงมากกว่า ขณะที่เช้านี้เงินบาทยังทรงตัวที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 33.91 บาทและ 33.83 บาทตามลำดับ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 34.10 บาทและ 34.21 บาท
ภาวะเศรษฐกิจเอเชีย - รอยเตอร์ได้ทำการสำรวจความเห็นของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์มากกว่า 100 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระหว่างวันที่ 23-30 ก.ค. ซึ่งผลสำรวจได้บ่งชี้ว่า จีนมีความเสี่ยงมากที่สุดในเอเชียที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ หลังราคาหุ้นและอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นมากในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนสหรัฐ ขณะเดียวกัน ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียเองก็ออกมาเตือนว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัย แม้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีความเสี่ยงน้อยที่สุดที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ก็ตาม
ปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ — คืนนี้
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค. โดยรอยเตอร์คาดว่า ดัชนี ISM ภาคการผลิตจะอยู่ที่ 46.2 ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นจาก 44.8 ในเดือนมิ.ย.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมิ.ย. โดยรอยเตอร์คาดว่า ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างจะลดลง 0.6% ในเดือนมิ.ย. หลังจากลดลง 0.9% ในเดือนพ.ค.
กองทุนทองคำ — SPDR กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก รายงานการเข้าถือทองคำถึง ณ. 31 ก.ค.52 ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,072.87 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34.49 ล้านออนซ์
ปฏิทินการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ