ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ใหม่ “บ. ทรู คอร์ปอเรชั่น” ที่ระดับ “BBB/Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 6, 2009 11:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) ที่ระดับ “BBB” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทซึ่งได้รับการค้ำประกันบางส่วนโดย International Finance Corporation (IFC) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยเงินทั้งหมดที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดบางส่วนเพื่อปรับจำนวนเงินกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในอนาคตให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดในระยะ 3 ปีข้างหน้า อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย คณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวมีข้อจำกัดจากฐานะทางการเงินที่อ่อนแออันเป็นผลมาจากการมีภาระหนี้จำนวนมาก ตลอดจนผลกระทบจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลัก ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านโทรคมนาคม และความเสี่ยงในการกู้เงินเพื่อชำระหนี้ในอนาคต แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจะยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโทรคมนาคมเอาไว้ได้และรักษาความสามารถในการแข่งขันด้วยการให้บริการในลักษณะรวมเทคโนโลยี ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงแสวงหาวิธีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงินและดำเนินการให้กระแสเงินสดที่ได้รับมีความสอดคล้องกับภาระการชำระคืนหนี้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้ภายในเวลา 12 เดือนข้างหน้าหากบริษัทไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาเรื่องข้อปฏิบัติทางการเงินและปรับปรุงโครงสร้างระยะเวลาการชำระหนี้ให้เหมาะสม หรือหากบริษัทตัดสินใจลงทุนในโครงการใหญ่ที่ต้องมีการกู้ยืมสูง ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้นำในการให้บริการด้านโทรคมนาคมแบบครบวงจรของประเทศ ธุรกิจหลักของบริษัททั้ง 3 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่ม TrueOnline ซึ่งเป็นธุรกิจโครงข่ายสายสัญญาณ (Wireline) กลุ่ม TrueMove ซึ่งเป็นธุรกิจไร้สาย (Wireless) หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกลุ่ม TrueVisions ซึ่งเป็นธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) โดยในปี 2551 ทั้ง 3 กลุ่มสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วน 40% 42% และ 18% และสร้างกระแสเงินสดในสัดส่วน 55% 31% และ 14% ตามลำดับ สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทเป็นผลมาจากความเป็นผู้นำในตลาดการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 70% บริษัทมีความสามารถสูงในการรักษาสัดส่วนทางการตลาดจากความได้เปรียบในด้านเครือข่ายที่ครอบคลุม ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โอกาสในการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์และการเติบโตอย่างรวดเร็วของผู้ใช้บริการน่าจะสามารถแทนที่รายได้ธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานที่ลดลงต่อเนื่องได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่เป็นอันดับ 3 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งประเทศประมาณ 50% และ 24% ตามลำดับ ทั้งนี้ ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกที่ยังมีอัตราส่วนจำนวนผู้ใช้บริการต่อประชากรในระดับต่ำ และบริการสื่อสารด้านข้อมูล (Non-voice) สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ถือเป็นธุรกิจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมสถานะเครดิตให้แก่บริษัทได้ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงเช่นเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและอัตราค่าบริการมีผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก ในขณะที่ธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและบริการด้านเสียงสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ในภาวะอิ่มตัวโดยค่าบริการมีอัตราลดลงรวดเร็วกว่าการเติบโตของผู้ใช้บริการซึ่งส่งผลให้รายได้ไม่เติบโตหรือถดถอยลง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบในด้านลบจากกฎระเบียบที่ไม่แน่นอนด้วย การประมูลใบอนุญาตประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จีถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ให้บริการเนื่องจากการมีค่าใช้จ่ายภายใต้สัมปทานที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ในกรณีของบริษัท ประโยชน์ดังกล่าวอาจลดลงจากข้อจำกัดทางการเงินที่จะใช้ลงทุนในการสร้างโครงข่ายสื่อสาร ฐานะการเงินของบริษัททจัดว่ามีภาระหนี้สูงและมีความเสี่ยงจากการกู้เงินเพื่อการชำระหนี้ในอนาคต แต่ข้อจำกัดดังกล่าวก็ได้รับการถ่วงดุลย์จากอัตรากำไรและกระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2552 แสดงสัญญาณที่ดีเมื่อเทียบกับผลประกอบการที่ต่ำกว่าประมาณการเมื่อปี 2551 เนื่องจากการลดลงของจำนวนการใช้บริการและการจ่ายค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทมีรายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ที่ระดับ 15,568 ล้านบาท ลดลง 2.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 36.0% จาก 32.9% ในปี 2551 และ 33.2% ในปี 2550 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจาก 92.6% ในปี 2551 เป็น 86.6% ณ เดือนมีนาคม 2552 จากผลของการมีเงินเพิ่มทุนจำนวน 6.38 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่มาจาก บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) ผ่านการใช้สิทธิเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 บริษัทใช้เงินดังกล่าวในการเพิ่มทุนจำนวน 2.6 พันล้านบาทแก่บริษัทย่อย คือ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด (TrueMove) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของงบดุลและอัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อปฏิบัติทางการเงิน ในไตรมาสแรกของปี 2552 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 5.1% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนเต็มปี) แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวยังคงกดดันฐานะทางการเงินของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ต่อไปแม้บริษัทจะมีพื้นฐานธุรกิจที่ดี อย่างไรก็ตาม บริการโทรคมนาคมที่มีความหลากหลายน่าจะช่วยรองรับผลกระทบที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้พอสมควร ความเสี่ยงจากการกู้ยืมเพื่อชำระหนี้เดิมยังคงเป็นปัจจัยกังวลที่สำคัญในระยะปานกลางเนื่องจากกระแสเงินสดที่ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้และลงทุน โดยเฉพาะสำหรับโครงข่าย 3 จี TrueMove ยังมีภาระที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อปฏิบัติทางการเงินดังกล่าวอีกในช่วงไตรมาสข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้ตามกรอบเวลา ทั้งนี้ การมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างแน่นอน ประกอบกับการได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากซีพียังคงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญต่ออันดับเครดิต ทริสเรทติ้งกล่าว ในขณะที่อันดับเครดิตของหุ้นกู้ TRUE107A TRUE117A TRUE127A TRUE144A และหุ้นกู้ชุดใหม่ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของบริษัทเพียงประการเดียว แต่อันดับเครดิตของหุ้นกู้ TRUE112A ยังมีแรงสนับสนุนจากการค้ำประกันวงเงินกู้บางส่วนจำนวน 50% ของเงินต้นโดย IFC ด้วย โดย IFC เป็นสมาชิกของ World Bank Group ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “AAA” จาก Standard & Poor’s และ “Aaa” จาก Moody’s Investors Service — บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB อันดับเครดิตตราสารหนี้: TRUE112A: หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน 6,750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ A TRUE097A: หุ้นกู้มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552 คงเดิมที่ BBB TRUE107A: หุ้นกู้มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 คงเดิมที่ BBB TRUE117A: หุ้นกู้มีประกัน 2,413 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ BBB TRUE127A: หุ้นกู้มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ BBB TRUE144A: หุ้นกู้มีประกัน 6,183 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ BBBหุ้นกู้มีประกันในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557 BBBแนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ