กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
CCP เน้นพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ หวังดัน Margin ให้สูงขึ้น ตั้งเป้าให้เป็นปีประสิทธิภาพ ทุ่มงบดึงเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมโยงสู่ศูนย์กลาง วางระบบภายในทั้ง SAPและ CDS
กลุ่มบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด(มหาชน) หรือ CCP ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป วัสดุก่อสร้างครบวงจร และอิฐมวลเบา วางแผนปี 49 เป็นปีแห่งประสิทธิภาพ ทุ่มงบประมาณดึงเทคโนโลยีมาใช้ในการวางระบบภายในองค์กรทั้ง SAP และ CDS (Central Data System) เพื่อเชื่มโยงข้อมูลเข้าสู่ส่วนกลางโดยอัตโนมัติ พัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หวังดันกำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 2,700 ล้านบาท
นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนถึงภาพรวมและแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่า เศรษฐกิจพลิกฟื้น ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง โดยอ้างถึงรายงานจากสำนักงานวิจัยธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ว่า ด้วยแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 กอปรกับคาดว่าปัจจัยลบเดิมที่บั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 48 จะคลี่คลายลง ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบของสึนามิที่มีต่อภาคการท่องเที่ยว ภาวะภัยแล้งที่บรรเทาลงจากปริมาณน้ำที่เหลือมาจากปี 2548 ในจำนวนที่มากกว่าที่คาดไว้ รวมถึงโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่าง ๆ และราคาน้ำมัน ที่แม้จะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทั่วโลกจับตา อีกทั้งระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศเฉลี่ยของปี 2549 จะสูงกว่าปี 2548 แต่น่าจะเป็นอัตราเพิ่มที่ชะลอลงมากเมื่อเทียบกับปี 2548 นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยบวกที่สำคัญจาก
- การลงทุนใน Mega Projects ที่รัฐบาลอนุมัติวงเงินเพิ่มจาก 1.7 เป็น 1.8 ล้านล้านบาท โดยในปี 2549 คาดว่าจะมีการดำเนินการเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน การพัฒนาระบบ ชลประทานและการศึกษา ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวขึ้นตาม
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในบางสาขาอยู่ในเกณฑ์เกินร้อยละ 8.0 ขณะที่ผลประกอบการโดยเฉลี่ยของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงมีแนวโน้มที่ภาคเอกชนจะขยายการลงทุนเพิ่มได้ เช่น ในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์กระดาษ
- เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อการร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐแล้ว ยังเป็นการย้ายฐานการผลิตหรือขยายการลงทุนเพิ่มด้วย โดยเฉพาะเม็ดเงินจากประเทศจีนที่มีแผนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน แม่พิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ และโครงสร้างพื้นฐาน
- การส่งออกยังขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะสินค้าที่ตลาดโลกยังมีความต้องการ เช่น สินค้าเกษตร อาหาร ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง แรงกระตุ้นจากความพยายามของภาครัฐในการขยายตลาดในประเทศกลุ่ม ใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย และประเทศในกลุ่มอาหรับ เป็นต้น รวมถึงการจัดตั้ง Regional Hub เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการแข่งขันทางการค้าในแต่ละภูมิภาค
- การท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากผลกระทบของสึนามิที่คลี่คลายลงแล้ว ภาครัฐยังมีมาตรการส่งเสริมหลายด้าน ประกอบกับแผนการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิในเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2549 ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ดังนั้น สำนักเศรษฐกิจส่วนใหญ่จึงเห็นสอดคล้องกันว่า GDP ของไทยในปี 2549 น่าจะขยายตัวสูงขึ้นจากปี 2548 โดยขยายตัวเฉลี่ยที่ประมาณร้อยละ 4.4 — 6.0
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนด้านการก่อสร้างโดยรวมในปี 2549 ยังคงขยายตัวจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และวัสดุก่อสร้างจะมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างอาจจะทำให้โครงการก่อสร้างบางโครงการล่าช้าต้องยึดระยะเวลาก่อสร้างนานขึ้น
สำหรับนโยบายการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้นั้น ทางบริษัทฯ จัดให้ปี 2549 เป็นปีแห่งประสิทธิภาพ โดยได้ดำเนินการวางระบบภายใน ( Internal Program) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ดังนั้นหน่วยงานคอนกรีตผสมเสร็จทั้ง 24 แห่ง ของบริษัทฯ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่ส่วนกลางโดยอัตโนมัติ การใช้ระบบดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถลดปัญหาของคอนกรีตผสมเสร็ตได้หลายอย่าง อาทิ ช่วยให้การผลิตนิ่งขึ้น ทุก ๆ Batch ที่ผสมคุณภาพเท่ากัน ช่วยทำให้เวลาในการผสมเร็วขึ้น นอกจากนี้ รถคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready Mixed Concrete) ของ CCP ยังติดระบบ GPS ทุกคัน ช่วยทำให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาคิวคอนกรีตขาดได้ ซึ่งคาดว่า การวางระบบดังกล่าว จะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมศกนี้
ด้านการขายของบริษัทฯ ในขณะนี้ งานคงเหลือในมือ (Backlog) ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป อาทิ โครงการก่อสร้างระบบรวบรวม และบำบัดน้ำเสีย (ระยะที่ 2) เทศบาลนคร นครราชสีมา มูลค่า 200 ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนแยกทางหลวงหมายเลข 34 ถึงถนนซอยอ่อนนุช มูลค่า 25 ล้านบาท
- ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ มีงานในมือ อย่างเช่น โครงการ Airport Rail Link มีมูลค่าคงเหลือ 1,190 ล้านบาท สะพานภาษีเจริญ 63 ล้านบาท ศาลากลางกรุงเทพมหานคร ระยะที่ 3 มูลค่า 56 ล้านบาท โรงไฟฟ้าแก่งคอย 42 ล้านบาท โรงงานศรีราชา โครงการ 1 — 2 มูลค่า 21 ล้านบาท
เนื่องจากในขณะนี้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตคงเหลือทำให้มั่นใจว่าจะสามารถรับงานใหญ่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุน จึงยังไม่มีแนวโน้มในการลงทุนเรื่องเครื่องจักรเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่จะมีความพร้อมในการลงทุนในการพัฒนาระบบภายใน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานส่งผลให้สามารถปรับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ให้สูงขึ้น และนอกจากนี้ในปีนี้ ยังมีการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่การให้บริการของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น บริษัทฯ จึงพร้อมที่จะวางระบบ Operation ทั้ง SAP และ CDS (Central Data System) โดยมอบหมายให้บริษัท เบซิสแวร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (Basisware Systems Co., Ltd.) เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว
ด้านนายประทีป ได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงแนวโน้มของธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างว่า ในปี 2549 คาดว่าธุรกิจโดยรวมยังคงชะลอตัว แต่ทางฝั่งทะเลตะวันออกยังคงเติบโต เนื่องจากธุรกิจส่งออกยังเป็นหัวใจของรัฐบาล ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง เป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ที่สุด และเป็นพื้นที่ที่บริษัทมีศักยภาพสูง ประกอบกับผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีขนาดครอบครัวเล็กลงหันมานิยมตกแต่ง และปรับปรุงที่อยู่อาศัยด้วยตนเองมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังคงขยายสาขาและตัวแทนจำหน่าย มีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก
มีสินค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องตกแต่งบ้านครบวงจร ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้โดยสะดวก และได้รับสินค้าที่ต้องการครบถ้วนในสถานที่แห่งเดียว
มีพนักงานบริการให้คำแนะนำลูกค้าอย่างทั่วถึงที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้ถูกต้องรวดเร็วขึ้นและตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
การเติบโตของธุรกิจที่อยู่อาศัย ตลาดบ้านมือสอง และตลาดรับสร้างบ้าน ส่งผลให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ในส่วนของแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ยังเร่งพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรเช่นเดียวกัน โดยในปัจจุบันมีศูนย์กันยงโฮม สโตร์ที่เปิดดำเนินการแล้ว 2 สาขาคือ สาขาชลบุรี และสาขาพัทยา ส่วนสาขาคลองหลวง อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แต่ยังไม่รีบเร่งดำเนินการแต่อย่างไร นายประทีปกล่าวในที่สุด
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ :
จิดาภา ประมวลทรัพย์, นันทพร บุญ-หลง
บริษัท สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด
โทร. 0-2693-7835-8 ต่อ 32, 33, 0-1817-7153
โทรสาร 0-2693-6920 E-mail: jidapa@siampr.co.th
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--