กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--ซีพีเอฟ
กิจการในต่างประเทศเติบโตโดดเด่น ส่งออกดีต่อเนื่อง ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.23 บาทต่อหุ้น มากกว่าปีที่แล้ว 188%
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2552 นี้ มีการเติบโตอย่างโดดเด่น เป็นผลจากกลยุทธ์และแผนการขยายงานที่ซีพีเอฟมีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจไปในด้านอาหาร พร้อมทั้งการรุกขยายฐานการผลิตไปยังประเทศต่างๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาด้านประสิทธิภาพในการผลิตและกระบวนการทำงานของกิจการในประเทศไทย ทำให้ในรอบ 6 เดือนแรกซีพีเอฟรายงานกำไรสุทธิได้ถึง 3,964 ล้านบาท เพิ่มจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 176%
ปัจจุบัน ซีพีเอฟแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ Feed (อาหารสัตว์) Farm (การเลี้ยงสัตว์) และ Foods (อาหาร) โดยมีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจด้านอาหาร ที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขายรวมในปัจจุบัน ให้เพิ่มเป็นอย่างน้อย 30% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ เกี๊ยวกุ้งซีพี โดยขณะนี้ได้ขยายไลน์สินค้าเป็น“บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง” เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรับประทานเป็นมื้ออาหารได้เลย ทั้งนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัย และทุ่มเทกับงานด้านการวิจัยและพัฒนาในการผลิตสินค้าอาหาร ที่นอกจากจะต้องมีรสชาติถูกใจผู้บริโภคแล้วยังต้องมีโภชนาการที่ดีด้วย
ด้านการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ หรือที่บริษัทเรียกว่าเป็น “กิจการในต่างประเทศ” นั้น มียอดรายได้ประมาณ 17% ของยอดขายรวม ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่นในทุกประเทศ อันรวมถึง อินเดีย มาเลเซียและตุรกี ปัจจุบันนี้ซีพีเอฟมีโรงงานและกิจการใน 8 ประเทศทั่วโลกและกำลังดำเนินการซื้อกิจการอาหารสัตว์และไก่เนื้อในประเทศไต้หวัน เป็นประเทศที่ 9
ด้านกิจการในประเทศไทยนั้น บริษัทประเมินว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงที่ถดถอย ตลอดจนสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่งพอ ซึ่งมีผลกระทบต่อการลงทุนของต่างประเทศและการส่งออก นอกจากนี้ปัญหาเรื่องไข้หวัด 2009 ยังกระทบกับการท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้จะมีผลต่อความต้องการบริโภคและการใช้จ่ายของผู้บริโภค จึงทำให้บริษัทมุ่งเน้นในการพัฒนาประสิทธิภาพทั้งด้านการผลิต การขาย กระบวนการทำงาน และรวมถึงการบริหารการเงิน เช่น การบริหารสินค้าคงคลัง การบริหารลูกหนี้ การรีไฟแนนซ์เงินกู้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ทำให้โดยภาพรวมมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ลดลง ซึ่งช่วยเสริมให้ความสามารถในการทำกำไรของกิจการในประเทศไทยดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น การขยายไปธุรกิจอาหาร การสร้างแบรนด์ และการขยายช่องทางจัดจำหน่าย เช่น ซีพีเฟรช มาร์ท ก็ช่วยเสริมการเติบโตของบริษัทอย่างมาก
สำหรับแนวโน้มในครึ่งปีหลังปี 2552 นี้ นายอดิเรกกล่าวว่า สถานการณ์ต่างๆ ยังดีต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยราคาเนื้อสัตว์ในประเทศไทยคงอ่อนตัวลงบ้างตามฤดูกาล แต่ขณะเดียวกันต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะข้าวโพดก็มีราคาอ่อนตัวลงเช่นกัน ส่วนในต่างประเทศยังคงโดดเด่นโดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำ และการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าอาหารก็ยังคงดีต่อเนื่อง คาดว่าปี 2552 นี้ จะเป็นปีที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งบริษัทก็จะจ่ายปันผลได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
“เรามั่นใจว่าเราเดินมาถูกทาง และจะต้องทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการเป็น “ครัวของโลก” ที่จะเป็นฐานผลิตสินค้าอาหารคุณภาพเพื่อผู้บริโภคทั่วโลกให้ได้” นายอดิเรกกล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2552 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.23 บาท มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 188%
สำนักสื่อสารและประชาสัมพันธ์
โทร. 0-2625-7344-5, 02-638-2713, 02-631-0641
e-mail : pr@cpf.co.th