กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--วีม คอมมูนิเคชั่น
ประเด็นสำคัญในการลงทุนทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านพื้นฐาน — วันนี้ราคาทองคำมีแนวโน้มลดลงในวันนี้ จากราคาทองคำแท่งที่ร่วงลงในตลาดนิวยอร์ก เมื่อคืนนี้ จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และราคาน้ำมันที่ร่วงลง ท่ามกลางปริมาณซื้อขายที่ไม่มากนัด โดยนักลงทุนยังคงต้องการรอฟังถ้อยแถลงของ FED ก่อนที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนต่อไป
กรอบการเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคราคาทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะสั้น — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะสั้นดูเป็นลบ, MACD 30 นาทีเคลื่อนตัวอยู่ในแดนลบทำให้ดูราคาเป็นลบ, MACDF 30 เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกทำให้ดูราคาเป็นบวก, Fast Stochastic เคลื่อนตัวอยู่ใกล้เส้น Trigger ด้านล่างทำให้ ราคามีโอกาสจะกลับมาบวก, RSI 30 นาทีอยู่ที่ระดับ 35.733 ถือเป็นระดับ oversold อยู่เล็กน้อยทำให้ดูว่าราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น, ทิศทางตลาดระยะสั้นดูเป็น Sideways แนวรับแนวต้านของวันอยู่ที่ $939-$954 ค่าเงินบาทในวันนี้อยู่ที่ระดับ ฿33.92-฿34.09
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะกลาง — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะกลางเป็นบวก, RSI อยู่ที่ระดับ 45.638 ถือเป็นระดับ Neutral และทำให้ดูว่าตลาดระยะกลางยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, MACD เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวก ทำให้ดูราคาเป็นบวก, MACDFเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ 0 ทำให้ดูเป็นตลาด Sideways และดูว่าตลาดยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, Fast-Stochastic เคลื่อนตัวลงทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวลงต่อในช่วงนี้, ทิศทางตลาดระยะกลางเป็นตลาด Sideways-up โดยจะใช้แนวต้านที่ $990 เป็นต้านระยะกลางที่สำคัญ ส่วนแนวรับระดับกลางอยู่ที่ $927 และ $912
ราคาทองคำแท่งที่ร้านค้าปลีกปิดล่าสุด (เส้นสีแดง = 15,400 บาท) ซึ่งสูงกว่าราคาทองคำแท่ง (SPOT) ในตลาดโลกเช้านี้ (เส้นสีน้ำเงิน = 15,290 หรือที่ $945.00) แสดงถึงราคาทองคำแท่ง ณ. หน้าร้านขายปลีก มีพรีเมี่ยมจากราคาในตลาดโลก อยู่ 110 บาท ขณะที่ราคาของ GFQ09 เมื่อวานนี้ปิดตลาดอยู่ที่ 15,380 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาดโลกเท่ากับ 90 บาท ซึ่งเท่ากับว่า GFQ09 มีพรีเมี่ยมน้อยกว่าที่ร้านค้าปลีก ดังนั้น การเปิดสถานะซื้อ (Long) GFQ09 แล้ว ขาย (Short) ทองคำแท่งที่ร้านทอง จะทำให้มีส่วนต่างของกำไรที่คาดหวัง อยู่ที่ 110-90 = 20 บาทต่อทองคำแท่ง 1 บาท ซึ่งยังคงไม่คุ้มค่ากับค่าคอมมิชชั่น (ประมาณ 120 บาทต่อ 1 บาท
ข่าวสารสำคัญเพื่อประกอบการลงทุน
ปัจจัยบวก
ค่าเงินบาท — ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง +3 สต. มาที่ 34.01 บาท จากที่ปิด 33.98 บาทต่อดอลลาร์เมื่อวันก่อนหน้า หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในวันนี้ เป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาดี หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ยังต้องดูว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หรือเป็นเพียงชั่วคราวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ขณะที่เช้านี้เงินบาทยังอ่อนค่าลงอีก +4 สต. มาที่ 34.05 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 33.92 บาทและ 33.83 บาทตามลำดับ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 34.09 บาทและ 34.17 บาท
ปัจจัยลบ
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ - สำนักงานวิจัย Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดจ้างงานในสหรัฐยังคงทรงตัวที่ 88.3 ในเดือนก.ค.เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ว่า การจ้างงานจะยังคงอ่อนแอไปตลอดปีนี้
ภาวะเศรษฐกิจอังกฤษ - ธนาคารกลางอังกฤษสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาด้วยการขยายแผนการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 5 หมื่นล้านปอนด์ มาที่ 1.75 แสนล้านปอนด์ (2.93 แสนล้านดอลลาร์) โดยธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มจะปรับลดคาดการณ์ GDP และออกประกาศเตือนถึง เศรษฐกิจของอังกฤษเสี่ยงที่จะตกเข้าสู่กับดักภาวะเงินฝืดจากหนี้สิน ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญประการหนึ่งเบื้องหลังการตัดสินใจของธนาคารกลางเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในการขยายแผนการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ขณะที่นายซูชิล วาดฮวานี สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลาง ซึ่งในขณะนี้เป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กล่าวว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มปรับตัวลงอีกครั้งในปีหน้า
ค่าเงินดอลลาร์ — ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น -$0.0041 เมื่อเทียบเงินยูโร มาที่ $1.4130 จากที่ปิด $1.4180 เมื่อวันก่อนหน้า โดยดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน จากความเห็นในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ หลังการเปิดเผยตัวเลขการลดจ้างงานที่ลดลงและอัตราการว่างงานที่ลดลงมากกว่าคาดของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ โดยนักลงทุนกำลังรอดูว่า การปรับตัวล่าสุดของดอลลาร์จะเป็นสัญญาณการสิ้นสุดลงของความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์กับความต้องการเสี่ยงหรือไม่ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นจะหนุนความต้องการเสี่ยงและถ่วงดอลลาร์ลง ดังเช่นเมื่อวานนี้ที่ ยูโรปรับตัวลงหลังการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นยูโรโซนแข็งแกร่งเกินคาด โดยดัชนี Sentix อยู่ที่ -17 ในเดือนส.ค. ปรับตัวขึ้นจาก -31.30 ในเดือนก.ค. ขณะที่เช้านี้ดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้นอีก -$0.0009 มาที่ $1.4130
ราคาน้ำมันดิบ — ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ก.ย. ขยับลงอีก -$0.33 มาปิดที่ $70.60 ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐ จากการขายทำกำไร หลังหุ้นได้พุ่งขึ้นมากว่า 4 สัปดาห์ เพื่อรอฟังแถลงการณ์ด้านอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และข้อมูลยอดค้าปลีกรายเดือนของรัฐบาล ขณะที่เช้านี้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ก.ย. ขยับขึ้นเล็กน้อยราว +$0.11 มาอยู่ที่ $70.71 ต่อบาร์เรล
กองทุนทองคำ — SPDR กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก รายงานการเข้าถือทองคำถึง ณ. 10 ส.ค.52 ลดลง -0.35 ตันจากวันก่อนหน้า รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,068.55 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34.35 ล้านออนซ์
ปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม
ธนาคารกลางสหรัฐ — การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในวันนี้และวันพุธ มีแนวโน้มที่จะมุ่งหารือเรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐ โดยจะพิจารณาว่า FED จะขยายวงเงินของโครงการดังกล่าวจาก 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือจะปล่อยให้โครงการดังกล่าวหมดอายุตามกำหนดในปลายเดือนหน้า ซึ่งจนถึงขณะนี้ FED ใช้เงินไปแล้ว 2.43 แสนล้านดอลลาร์ภายใต้โครงการดังกล่าว ขณะที่อัตราการซื้อรายสัปดาห์ในปัจจุบันนั้น วงเงินดังกล่าวจะหมดลงภายในช่วงสิ้นเดือนก.ย. นอกจากนี้ FED ยังซื้อตราสารหนี้จำนองวงเงิน 1.45 ล้านล้านดอลลาร์ภายในช่วงสิ้นปีนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงคาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ไว้ที่ 0-0.25%