กรุงเทพฯ--19 ธ.ค.--เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส
SECC สบช่องราคาน้ำมันพุ่ง ผู้บริโภคและภาครัฐหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น แตกบริษัทย่อย "ซีเอ็นจี ไฮบริด วีฮิเคิล" ลุยธุรกิจใหม่รับบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid สำหรับรถยนต์ เผยจากการสำรวจตลาดพบว่ามีความต้องการสูงแต่ไม่มีผู้ประกอบการที่มีความชำนาญและได้มาตรฐานเข้ามารองรับ คาดได้รับการตอบรับล้นหลาม เหตุเป็นผู้คร่ำหวอดในธุรกิจยานยนต์มากว่า 10 ปีและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ตั้งเป้าปีแรกเปิดศูนย์ติดตั้งและบริการครบ 15 สาขา ฟันรายได้ไม่ต่ำกว่า 80 ลบ. พร้อม ร่างแผนเตรียมขยายแฟรนไชส์คลุมทั่วภูมิภาคในอนาคต
นายไพบูลย์ สุขสุธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) กล่าวว่า บริษัทฯได้เตรียมขยายธุรกิจใหม่สู่ธุรกิจบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงน้ำมันเบนซิน สลับกับก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas หรือ CNG) เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางขึ้นและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต นอกเหนือจากธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน ด้วยการตั้งบริษัทย่อยภายใต้ชื่อ "บริษัท ซีเอ็นจี ไฮบริด วีฮิเคิล จำกัด" เข้ามาดูแลธุรกิจดังกล่าวอย่างเต็มตัว โดยบริษัทถือหุ้น ประมาณ 99 %
เขากล่าวว่าการเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวเป็นเพราะมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมรถยนต์มานานกว่า 15 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจในจังหวะที่น้ำมันมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยทั้งผู้บริโภคและรัฐบาลได้ตื่นตัวและให้ความสำคัญโดยหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานจากก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกและประเทศไทยสามารถผลิตได้เอง แต่ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีในการติดตั้ง อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน บุคลากรที่มีความชำนาญ รวมทั้งมีชิ้นส่วนอะไหล่และการบริการหลังการขายที่ครบวงจร เข้ามาเปิดตลาดอย่างจริงจัง ในขณะที่ตลาดมีความต้องการสินค้าดังกล่าวค่อนข้างสูง
จากการสำรวจพบว่าขณะนี้มีรถยนต์ที่ต้องการเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติถึง 5 แสนคัน แต่ยังไม่มีตลาดเข้ามารองรับ ดังนั้น บริษัทฯในฐานะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมทั้งทางด้านเทคโนโลยี และบุคลากร จึงได้ตัดสินใจรุกสู่ธุรกิจบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid อย่างจริงจัง ด้วยการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแลธุรกิจดังกล่าวเต็มตัว โดยแผนการขยายธุรกิจในช่วงแรกจะทำในลักษณะจัดตั้งศูนย์รับติดตั้งระบบ CNG Hybrid การให้บริการหลังการขาย และร้านจัดจำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์ รองรับลูกค้าตามจุดต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 20 — 30 ล้านบาท โดยงบลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ส่วนเป้าหมายในปีแรกคาดว่าจะเปิดได้ประมาณ 15 สาขา โดยแบ่ง เป็นส่วนของโชว์รูม เอส.อี.ซี. เอง 5 สาขา และส่วนของแฟรนไชน์ส์ทั่วภูมิภาคอีก 10 สาขา และหลังจากที่ตลาดขยายตัวไปในระดับหนึ่ง บริษัทฯจะเปิดขยายสาขาเพิ่มเติมไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อรองรับลูกค้าและให้บริการครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางขึ้น
"ศูนย์บริการของเราจะประกอบไปด้วยธุรกิจ 3 ส่วน คือ ส่วนแรกจะรับให้บริการติดตั้ง CNG Hybrid ส่วนที่สองเป็นการให้บริการหลังการขายสำหรับลูกค้าทั่วไปและส่วนที่สามเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่อุปกรณ์ที่ใช้กับระบบก๊าซทั้ง CNG และก๊าซ LPG ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะธุรกิจของ เอส.อี.ซี.สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ ทั้งเป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในธุรกิจรถยนต์มาช้านาน สินค้าที่มีคุณภาพ การให้บริการที่ได้มาตรฐาน มีการรับประกันสินค้า และมีการบริการหลังการขายที่ครบวงจร ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาดในปัจจุบัน"
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า กลุ่มเป้าหมายจะเป็นลูกค้าระดับกลางถึงสูง ทั้งที่เป็นลูกค้าเดิมที่ซื้อรถยนต์และใช้บริการหลังการขายกับบริษัทมาก่อน และลูกค้าทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนการใช้พลังงานในรถยนต์มาเป็นระบบ CNG Hybrid โดยอัตราการให้บริการต่อครั้งจะขึ้นอยู่กับสมรรถนะรถยนต์ของลูกค้าและความต้องการของลูกค้าว่าจะใช้สินค้าที่เป็นถังบรรจุก๊าซประเภทใด เนื่องจากถังบรรจุก๊าซแต่ละประเภทจะมีราคาแตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี ธุรกิจบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid สำหรับรถยนต์ถือเป็นธุรกิจนำร่องที่บริษัทจะก้าวไปสู่ตลาดระดับมวลชน (Mass Market) เท่านั้น หลังจากนั้นมีความเป็นไปได้ที่บริษัทฯจะขยายธุรกิจเพิ่มด้วยการจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวสำเร็จรูป เนื่องจากตลาดยังมีช่องว่าง และบริษัทมีความพร้อมเพียงพอ
เขากล่าวอีกว่าการขยายธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ ในช่วงแรกอาจจะสร้างรายได้ให้บริษัทไม่มากนัก เนื่องจากเมื่อเทียบกับรายได้จากการขายรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ที่มียอดขายเฉลี่ยต่อปีคิดเป็นรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท แต่ธุรกิจใหม่ถือเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงในอนาคตหากมีการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นธุรกิจใหม่ขยายตัวอย่างชัดเจนในปี 2550 โดยบริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ในปีแรกประมาณ 80 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
คุณณัฐพงษ์ ใจแกล้ว โทร.081-4010226