กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
งานแฟร์สุขภาพ Health Cuisine & Beauty Festival ครั้งที่ 5
2-6 กันยายน 2552 เวลา 10.00 -20.00 น
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
“ช้อปสนุก เพื่อสุขภาพ อาหาร และความงาม กับงานแฟร์สุขภาพที่ดีที่สุดในประเทศ ”
บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านสื่อสิ่งพิมพ์ครบวงจรทั้งโรงพิมพ์, ร้านหนังสือนายอินทร์ 90 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ, 12 นิตยสารชั้นนำของประเทศ ได้แก่บ้านและสวน,แพรว,สุดสัปดาห์,ชีวจิต, Health&Cuisine, National Geographic, Room, We, Real Parenting, Shape, In Style และ Secret ซึ่งตอกย้ำภาพผู้นำธุรกิจด้านงานแฟร์เพื่อคนรักสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดงาน Health Cuisine & Beauty Festival ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 2-6 กันยายน 2552 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
Health Cuisine & Beauty Festival ครั้งที่ 5 โดยการผนึกกำลังจาก 3 นิตยสาร Health & Cuisine, ชีวจิต และ Shape นิตยสารสายสุขภาพในเครือ ฯ ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด จึงขอนำเสนอกิจกรรมดีๆ ที่มีความสร้างสรรค์อย่างครบวงจร สู่กลุ่มผู้ที่รักสุขภาพ และความงามอย่างแท้จริง ภายใต้คอนเซ็ปท์ “ช้อปสนุก เพื่อสุขภาพ อาหาร และความงามที่คุณต้องมา”
มหกรรมนวดนานาชาติกับนิตยสารชีวจิต
นิตยสารชีวจิตนิตยสารสายสุขภาพในเครือบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน) ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศ ปีนี้จัดงานแฟร์อย่างยิ่งใหญ่ด้วยคอนเซปต์ มหกรรมนวดนานาชาติ ในงาน Health Cuisine & Beauty Festival ครั้งที่ 5 ชวนคุณผู้อ่านมาพบกับการศาสตร์การนวดเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจหลากหลายถึง 9 สัญชาติ อาทิ
ศาสตร์การนวดน้ำมันลังกาสุกะ
การนวดน้ำมันลังกาสุกะเกิดขึ้นจากการรวบรวมองค์ความรู้จากหมอพื้นบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาผสมเข้ากับการนวดแผนไทยตำรับราชสำนักเข้าด้วยกัน ในอดีตการนวดในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้จะมีแค่เฉพาะการนวดผู้หญิงหลังคลอดโดยโต๊ะบีแด (หมอตำแย) และนวดเพื่อแก้ปวดเมื่อยสำหรับผู้ชายเท่านั้น เมื่อเป็นการนวดผสมผสานหลายศาสตร์การนวดน้ำมันลังกาสุกะจึงมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
ความพิเศษของการนวดน้ำมันลังกาสุกะ คือ สูตรน้ำมันนวดลังกาสุกะ
สูตรการทำน้ำมันลังกาสุกะนั้นได้มาจากการคัดเลือกสมุนไพรที่ดีที่สุดของโต๊ะบีแดถึง 15 คน และต้องนำมาต้มกับน้ำมันงาหรือน้ำมันถั่วเหลือง และผสมกับน้ำมันฮาบาตุสเซาดะห์หรือน้ำมันยี่หร่าดำที่ชาวมุสลิมเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด
ประโยชน์ของการนวดน้ำมันลังกาสุกะ
การนวดด้วยการใช้น้ำมันจะมีข้อดีตรงที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและผิวหนังชุ่มชื้น ซึ่งการจะทำให้น้ำมันซึมเข้าผิวหนังได้ดีต้องทำควบคู่กับการประคบร้อนด้วยก้อนหินเพื่อกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือด ผ่อนคลายเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อพังผืดต่างๆ
เคล็ดลับการนวดคลายเครียดแบบลังกาสุกะ
การนวดน้ำมันลังกาสุกะนั้นไม่มีข้อห้ามใดๆสามารถนวดได้ทุกเพศทุกวัย แต่เพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้นการนวดน้ำมันลังกาสุกะจะเหมาะกับคนในกลุ่มต่อไปนี้ คือ ผู้ที่มีปัญหาปวดหัวเข่าโดยเฉพาะผู้สูงอายุและหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีปัญหาเข่าเสื่อม หมอนวดก็จะใช้น้ำมันนวดบริเวณหัวเข่าและประคบร้อนด้วยก้อนหินเพื่อให้กล้ามเนื้อซึมซับตัวยาได้ดียิ่งขึ้น
มหัศจรรย์ศาสตร์การนวดแผนจีน “ทุยหนา”
“ทุยหนา” ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณที่สืบทอดกันมานานนับพันๆ ปี ทุยหนามีหลักฐานปรากฎอยู่ในบันทึก ‘หวงตี้นุ่ยจิง’ ซึ่งเป็นคัมภีร์การแพทย์แผนจีนเล่มแรกๆ ในสมัยราชวงศ์ชิงและฮั่น หรือราว 2,000 ปีก่อน ระบุว่ามีการใช้วิธีบริหารพลังภายในหรือชี่กงกับนวดทุยหนาหลังจากนั้นการนวดทุยหนาก็ได้รับการพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา
ความพิเศษการนวดแผนจีน “ทุยหนา”
การรักษาโรคด้วยการนวดทุยหนามีจุดเด่นที่แตกต่างจากการนวดชนิดอื่นๆ คือ ผู้ให้การรักษาต้องมีทั้งความรู้ ความแม่นยำในเรื่องของจุดต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งพลังชี่กงที่จะถ่ายทอด เพื่อผลักดันให้ลมปราณหมุนเวียนนั่นเอง ซึ่งสาเหตุนี้ทำให้แพทย์จีนที่ใช้นวดทุยหนาในการรักษาไม่สามารถล้างมือในระหว่างการนวดได้ เพราะจะทำให้สูญเสียพลังและความร้อนจากฝ่ามือไป สำหรับวิธีการนวดไม่เพียงแต่ใช้มืออย่างเดียว ยังอาจใช้เท้าและข้อศอกได้ด้วย หรือใช้เครื่องมือนวดโดยเฉพาะบางอย่าง เช่น น้ำมันตุงชิง น้ำมันงา ผงหินลื่นหรือสารหล่อลื่นอื่นๆ ทั้งนี้อาจใช้สมุนไพรจีนและการครอบกระปุกร่วมประกอบการนวด
ประโยชน์ของการนวดแผนจีน
แก้ปวดหัว กดจุดไท่หยาง ซึ่งอยู่ตรงรอยบุ๋มหลังจุดกึ่งกลางระหว่างหางคิ้วกับหางตา ห่างออกไปประมาณ 1 นิ้ว โดยใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วกลางกดลงไปตรงจุดไท่หยางทั้งสองข้าง พร้อมนวดวนเบาๆ นาน 1-2 นาทีหรือมากกว่า และนวดวนกลับอีกด้านหนึ่ง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้โดยกดจุดจู๋ซานหลี่ ซึ่งอยู่ที่หน้าแข้งด้านนอกห่างจากสันกระดูกออกมา 1 ข้อนิ้วมือ และอยู่ต่ำจากขอบล่างของกระดูกสะบ้า 4 ข้อนิ้วมือ กดนวดจุดดังกล่าวนาน 1-2 นาที และปัจจุบันมีการใช้การนวดทุยหนาเพื่อป้องกันและรักษาโรคต่างๆ เพื่อบำบัดรักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อันเกิดจากความผิดปกติของเลือดลม เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นต้น
“ชิอาซึ” ศาสตร์การนวดชาติญี่ปุ่น
ชิอาซึ หรือ Shiatsu ริเริ่มโดยอาจารย์นามิโกชิ (Namikoshi) ในราวปี ค.ศ. 1900 มาจากคำว่า Shi มีความหมายว่านิ้วมือ (Finger) และคำว่า Atsu มีความหมายว่ากด (Pressure) โดยมีความหมายรวมกันว่าการกดจุดแบบญี่ปุ่น (Shiatsu) เป็นการกดตามตำแหน่งจุดต่างๆ โดยการใช้นิ้ว และฝ่ามือกดหรือนวดโดยไม่ใช้เครื่องมืออย่างอื่น การนวดชิอาซึมีหลักการสำคัญคือคลายจุดที่แกร่งและเติมพลังให้กับจุดที่พร่อง ช่วยทำให้พลังชีวิต หรือ ชี่ ในภาษาจีน ซึ่งภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า กิ (Ki) เคลื่อนที่ให้เป็นปกติ โดยเชื่อว่าความผิดปกติของร่างกายเกิดจากการไหลเวียนของกิไม่สมดุล การนวดชิอาซึจึงเป็นการปรับให้การไหลเวียนของพลังกิให้เป็นไปอย่างสมดุล
ประโยชน์ของการนวดชิอาซึแบบญี่ปุ่น
1.ช่วยลดความเครียด และภาวะอ่อนเพลีย เมื่อนวดแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุ และผู้ป่วยอัมพฤกษ์ เพราะมีรายงานการวิจัยพบว่าช่วยให้ผู้สูงอายุ หลับลึก และไม่ตื่นกลางดึก
2.ช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และกล้ามเนื้อผ่อนคลาย จึงสามารถป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ดี
Tip การนวดชิอาซึเพื่อสุขภาพ
1.ผู้นวดควรตรวจเช็คร่างกาย และแจ้งอาการก่อนรับการนวด เพราะการนวดแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยหลายโรค อาทิ โรคติดต่อทางผิวหนัง โรคติดเชื้อ มีไข้สูง โรคระบบเลือด (เลือดออกง่าย และเส้นเลือดขอด) และผู้ป่วยมะเร็ง แต่สำหรับผู้หญิงที่มีรอบเดือนสามารถนวดเพื่อลดอาการอ่อนเพลียและปวดเมื่อยร่างกายได้
2.ไม่ควรนวดในเวลาที่หิวมาก หลังอาหารทันที หรือหลังอาบน้ำสระผมทันที และหลังการนวดไม่ควรอาบน้ำ หรือสระผมทันทีเช่นกัน ควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อปรับสภาพร่างกาย
กรณีที่มีความเครียด อ่อนล้า หรือนอนไม่หลับ อาจนำการนวดชิอาซึแบบมาช่วยผ่อนคลายได้ โดยกดจุดที่ตำแหน่งตาที่สาม (กลางหน้าผากเหนือตรงกลางระหว่างคิ้ว) และจุดฝ่าเท้าและฝ่ามือ ประมาณ 7-10 วินาที จำนวน 3 ครั้ง
ศาสตร์การนวดศีรษะตำรับอินเดีย
การนวดศีรษะแบบอินเดียนั้นเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของสตรีชาวภารตะที่ใช้บำรุงรักษาเส้นผม ให้มีสุขภาพดี กลิ่นหอม และเป็นเงางาม แต่ปัจจุบันนิยมอย่างแพร่หลาย โดยจำแนกรูปแบบได้ดังนี้
นวดแบบจับจุดจักระ
การนวดศีรษะแบบอินเดียนั้นเน้นการนวดศีรษะ บ่า ต้นแขน หลังตอนบน ใบหน้า เนื่องจากบริเวณเหล่านี้ เป็นจุดที่คนสมัยใหม่นิยมนวดมาก คือ การนวดจะสัมพันธ์กับจักระ 3 แห่ง (จาก 7 แห่งทั่วร่างกาย) คือ จักระที่ 5 ซึ่งอยู่บริเวณคอ ซึ่งเกี่ยวกับการสื่อสาร การพูด การทำงานของหัวใจ ทรวงอก ปอด จักระที่ 6 ที่อยู่บริเวณหว่างคิ้ว ซึ่งเกี่ยวกับความคิด สมอง และจักระที่ 7 ที่กระหม่อม ซึ่งส่งผลต่อสมาธิ และสัญชาติญาณ
ประโยชน์ของการนวดศีรษะแบบอินเดีย
การนวดศีรษะแบบอินเดียนี้ยังช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้มากมาย เช่น ปวดศีรษะ ไมเกรน หูอื้อ นอนไม่หลับ การนวดใบหน้ายังช่วยแก้ปัญหาปวดและคัดจมูกจากการคั่งของของเหลวในโพรงไซนัสได้” น้ำมันที่นิยมใช้ในการนวดศีรษะแบบอินเดียคนอินเดียนิยมใช้น้ำมันในการนวด เพราะเชื่อว่าน้ำมันเป็นพลังบริสุทธิ์ เป็นตัวลดแรงเสียดทาน และถ่ายทอดพลังงานจากผู้นวดไปยังผู้ถูกนวด
ศาสตร์การ “นวดจับตะไซ” มหัศจรรย์นวดจับเส้น สไตล์ ไทย - เขมร
นิตยสารชีวจิตเจาะลึกถึงวิถีการนวดแบบเขมร-สุรินทร์ ซึ่งคือศาสตร์วิชาการนวดจับเส้น ประจำท้องถิ่น รู้จักกันในชื่อ “นวดจับตะไซ” โดยคำว่า “ตะไซ” เป็นภาษาเขมร แปลว่า เส้น นั่นเอง ซึ่งหัวใจสำคัญของการรักษาจึงอยู่ที่ ศิลปะในการลงน้ำหนักมือบนเส้นและอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย อย่างแม่นยำของหมอนวดจับตะไซ ที่มาจากการสั่งสมประสบการณ์ จนชำนาญ
ประโยชน์ของการ“นวดจับตะไซ”
ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง หรือเป็นสตรีที่ปวดหน่วงบริเวณท้อยน้อย มีอาการตกขาว และประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งเป็นอาการของมดลูกอักเสบ หรือเคลื่อนที่ อาจเกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนัก ใส่รองเท้าส้นสูง หรือใส่กางเกงเอวต่ำ เนื่องจากกางเกงจะไปกดรั้งกระดูกเชิงกราน นอกจากนี้การนวดจับตะไซยังแก้อาการปวดหลัง ปวดต้นคอหรือคอเคล็ด กับคนทุกเพศทุกวัยได้ นี่คือศาสตร์การนวดแบบภูมิปัญญาอันล้ำค่าของชาวสุรินทร์
ศาสตร์การนวดตอกเส้นแบบ ล้านนา
ศาสตร์แห่งการนวดตอกเส้น เป็นศิลปะการรักษาโรคที่สืบทอดกันมาแต่ช้านานในแถบแผ่นดินล้านนา ซึ่งกล่าวกันว่า สามารถรักษาอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆในร่างกายได้ชะงัดโดยการใช้ไม้ตอกลงไปตามเส้นเอ็นน้อยใหญ่ในร่างกายเพื่อคลายการติดยึด เพราะเส้นเอ็นคือส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยยึดโครงสร้างของร่างกายเข้าด้วยกัน และเมื่อเกิดอาการยึดติดซึ่งจะสังเกตได้จากรู้สึกปวดตึงตามส่วนต่างๆ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็น เป็นโรคกระดูกทับเส้น เป็นต้น ความพิเศษและจุดเด่นของการตอกเส้นคือเราจะเน้นไปที่จุดสำคัญของร่างกาย การตอกแต่ละครั้งจะตอกลงไปตามเส้นเอ็นที่เป็นจุดศูนย์กลาง ที่เราเรียกกันว่า “เส้นสิบ” (อยู่รวมกันบริเวณเหนือสะดือขึ้นไปสองนิ้ว ต่ำจากสะดือลงมาสองนิ้ว และที่ข้างสะดืออีกสองนิ้ว) ซึ่งจะมีเส้นเอ็นเล็ก และเส้นเอ็นใหญ่กระจายออกไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา หน้าอก จอประสาท กระดูกสันหลัง บั้นเอว ข้อมือ ลงไปถึงเท้า
ประโยชน์ของการ“นวดตอกเส้นแบบล้านนา
ช่วยบรรเทาอาการไหล่ติด ปวดหลังปวดเอว หรือบางที่ยกแขนไม่ขึ้น เป็นต้น หรืออาการอัมพฤกษ์ อัมพาต การนวดตอกเส้นจะช่วยคลายอาการปวดเกร็งให้เขาอาการดีขึ้นเรื่อยๆ
ศาสตร์การนวดจับเส้นแผนโบราณของ “หมอเมืองคอน”
การนวดจับเส้น หรือบางครั้งอาจใช้คำว่า “การนวดแบบเชลยศักดิ์” เป็นการนวดเพื่อแก้อาการโรคมากกว่าเป็นการนวดเพื่อผ่อนคลาย หลักการนวดจับเส้นคือ เราต้องสังเกตกล้ามเนื้อของคนไข้ว่า มัดไหนตึง มันไหนหย่อน เมื่อจับได้ก็จึงค่อยไล่ลมที่อยู่ตามเส้นเลือด โดยใช้การกด กดหนักบ้าง เบาบ้าง เพื่อไล่ลม เมื่อลมในร่างกายเราหายไป เลือดก็ไหลเวียนไปซ่อมแซมอวัยวะที่ผิดปกติได้
ประโยชน์ของการ“นวดจับเส้น”
สามารถรักษาผู้ที่มีอาการ กล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดขัดยอก ท้องอืด ท้องเฟ้อ นอนไม่หลับ และสามารถไล่ลมบนใบหน้าให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งได้อีกด้วย
ศาสตร์การนวดแผนไทยโดยร.พ.สมุทรสาคร
การนวดโดยใช้สมุนไพรและรักษาโรคเป็นไปตามหลักเภสัชวิทยา อาจจะเป็นสมุนไพรเดียว หรือในกรณีที่ต้องทำลูกประคบ ก็จะใช้สมุนไพรหลายชนิดมารวมกัน เช่นสมุนไพรบางอย่างแก้โรค บางอย่างเพื่อให้ตัวยาซึมเข้าผิว บางอย่างเพื่อให้เกิดน้ำมันหอมระเหยต่อมาจึงเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งมักจะเป็นการนวดรักษาตามจุดที่มีอาการ พร้อมกับแนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปปรับใช้เองได้ ด้วยท่าออกกำลังกายหรือดัดตน แพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลสมุทรสาคร จะประยุกต์ให้เข้ากับหลักกายภาพบำบัด และสรีรวิทยา
ประโยชน์ของการนวดแผนไทย
ด้านสุขภาพ ผลทางกาย คือการนวดทำให้เกิดอาการไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้นช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ผังผืด ช่วยการทำงานของข้อต่อดีขึ้นและใช้อายุการใช้งานยาวนนานขึ้น กระตุ้นระบบประสาท การตื่นตัว ตอบสนอง ต่อสภาพแวดล้อมดีขึ้นและยังทำให้ทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอกกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดศีรษะ หลังตึง ข้อแพลง โรคอัมพฤกษ์ และอื่น ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส ผ่อนคลายจิตใจ
ด้านสังคม หากเป็นการนวดของคนในครอบครัว หรือสังคม มีส่วนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดความเข้าใจ ความเอื้ออาทรรักใคร่ ในระหว่างการนวดมีการพูดคุย ช่วยผ่อนคลายลง
ศาสตร์การนวดแบบชีวจิต
ปิดท้ายด้วยศาสตร์การนวดแบบชีวจิต ต้นตำรับจาก อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูคนแรก ด้านชีวจิตเป็นผู้ค้นคิดวิธีการนวดชีวจิต โดยปรับประยุกต์มาจากการนวดแผนไทย การนวดกดจุดฝังเข็มตามองค์ความรู้แพทย์แผนจีน การใช้พลังดัน-ต้านแบบไอโซเมตตริก เพื่อให้การนวดตัวเอง การนวดเพื่อนหรือคนที่เรารักได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่
การนวดแบบชีวจิตแบ่งเป็น 2 ประเภท
1.นวดกดกดจุดและกระตุ้นต่อม เป็นการกระตุ้นและรีดให้ท็อกซินกระจายออกจากร่างกาย และขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นให้จุดต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิต การหลั่งฮอร์โมนของต่อมต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น การคลึงและดึงจุด - ต่อมต่างๆ ควรใช้สมาธิและการหายใจเราถูกต้องร่วมด้วย จะทำให้รู้สึกมีแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
2.นวดคู่เพื่อการผ่อนคลาย
โดยปกติ เรามักนวดหลังจากออกกำลังกาย ซึ่งเมื่อออกแรงและออกกำลังกายเต็มที่ เราจะเหนื่อย เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้นเร็ว คงจะมีอาการเจ็บ ปวด ตึง และเมื่อยเป็นธรรมดา เราจึงตบท้ายด้วยการนวดและการผ่อนคลายให้ร่างกายสบาย หายเจ็บ หายปวด หายเมื่อยได้ และสามารถไปออกแรงออกกำลังกายวันต่อไปได้อย่างกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา
นิตยสารชีวจิตรวมความหลากหลายของ มหกรรมนวดนานาชาติ ไว้อย่างนี้แล้ว หวังว่าทุกท่านคงไม่พลาดดูแลสุขภาพร่างกายให้พร้อมกันและเตรียมไปร่วมสนุกแบบผ่อนคลายในงาน Health Cuisine & Beauty Festival ครั้งที่ 5 ที่บูธนิตยสารชีวจิต
อิ่มท้อง อิ่มตา อิ่มใจ ที่บูธนิตยสาร Health&Cuisine
นิตยสาร Health&Cuisine ปีนี้ยกขบวนความอร่อยให้คุณอิ่มท้องกับ 10 ร้าน H&C Recommend ที่รวบรวมอาหารหารับประทานยากและอร่อย มาให้เลือกซื้อเฉพาะงานนี้งานเดียว อาทิ ร้านบ้านสีม่วง ของหม่อมอรศรี ฉัตรชัย ณ อยุธยา เจ้าของคอลัมน์ Old Dishes From the Generation กับเมนูน้ำปลาเห็ดไข่ต้ม ทูน่าฟู และเมนูต้มญี่ปุ่นเสียเมือง หน้าตาและรสชาติจะเป็นอย่างไรมาชิมได้ที่งานนี้เท่านั้น, ต่อด้วย ร้านคุณเชิญ-อาหารมังสวิรัติดั้งเดิม กับเมนูข้าวเนื้อทุบ และขนมจีนน้ำเงี้ยว,ที่รับรองว่าชื่อแปลกแต่สูตรสุขภาพล้วน ๆ ตามด้วย ร้าน Fish Cuisine กับเมนูน้ำพริกและแยมโฮมเมด ของคุณเป้า - นุชนันท์ โอสถานนท์ เจ้าของคอลัมน์ Practical Cuisine กับน้ำสลัด หมี่กรอบ และข้าวยำ, ปิดท้ายด้วยร้านขนมหวานเอาใจชาว Bakery Lover “Chicky — Chic” คุกกี้โฮมเมด ที่รับรองความอร่อยจากประสบการณ์สอนและทำเบเกอรี่กว่า 20 ปี อาทิ เมนูคุกกี้อัญชัน คุกกี้ราชา
ขบวนความอร่อยนี้จะมาให้คุณได้ช้อป และชิมยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ ต่อด้วยกิจกรรมที่สาวโสด หรือไม่โสดก็ห้ามพลาดที่ เพราะบูธ Health&Cuisine จะทำให้คุณอิ่มตากับ 10 หนุ่มหล่อ Men’s Cooking ที่ผลัดกันมาโชว์เมนูเพื่อสุขภาพให้ชมและชิมกันทุกวัน อาทิ คุณพงษ์พิสุทธิ์ ผิวอ่อน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณปิยะพงษ์ ผิวอ่อน นักฟุตบอลขวัญใจชาวไทย กับเมนูพิซซ่าหน้าไข่คนลาวา, คุณเจ-เทพหัสดิน ณ อยุธยา นักร้อง นักแต่งเพลง และพิธีกร กับเมนูโซเมนน้ำยาปลาทูน่า, คุณใหม่-กิติวัฒน์ แสงประทีป หนุ่มหน้าใสอารมณ์ดีสมาชิกวง The Begins ค่าย Love Is กับเมนูบาร์บีคิว และคุณน็อต-นุติ เขมะโยธิน ที่ผันตัวเองจากนักแสดงมานั่งแท่นผู้บริหารบริษัท Media Of Media กับเมนูเมี่ยงปลาทูเพื่อสุขภาพ
แถมยังได้ร่วม อิ่มใจ กับ 4 บูธองค์กรกุศล ที่ยกขบวนมาจำหน่ายสินค้าราคาลดพิเศษและยังได้บุญอีกด้วย อาทิ มูลนิธิมายา โคตมี ของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คาเวสโก ร่วมซื้อสินค้าผลิตจาผ้าทอมือแบบ “ซาโอริ” ผ้าทอมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ, มูลนิธิกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ กับสินค้าหัตถกรรมของเล่นไม้ ให้คุณย้อนอดีตสมัยคุณตาคุณยาย, สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) กับสินค้าน่ารักๆ เพื่อร่วมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาทารุณกรรมสัตว์ และมูลนิธิกระจกเงา ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างสรรค์สังคม และชุมชนให้เข็มแข็ง กันสินค้าโครงการร้านอีบ้านนอก ที่สินค้าไม่บ้านนอกเหมือนชื่อ
บูธนิตยสาร Health&Cuisine ปีนี้คัดสรรสิ่งดีๆมาให้คุณทั้งอิ่มท้องกับอาหารอร่อย อิ่มตากับ 10 หนุ่มหล่อ และร่วมทำบุญกับ 4 มูลนิธิให้อิ่มใจกันทั่วหน้าแน่นอนค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ฝ่ายการตลาดและสื่อสารแบรนด์ - นิตยสาร โทร.0-2422-9999 ต่อ 4126 - 9 www.amarin.com/events
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-422-9999 ต่อ 4126-9 ฝ่ายการตลาดและสื่อสารแบรนด์-นิตยสาร