กรุงเทพฯ--19 ส.ค.--บีโอไอ
บีโอไอ มั่นใจต่างชาติยังยกไทยเป็นฐานการลงทุน เผย 7 เดือน ยอดเอฟดีไอทะลุ 73,000 ล้านบาท เฉพาะเดือนกรกฎาคมเดือนเดียว มียอดขอรับส่งเสริมสูงถึง 2.3 หมื่นล้านบาท ญี่ปุ่นยังครองแชมป์ รองลงมาเป็น จีน และยุโรป มั่นใจภาวะการลงทุนช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว
นางหิรัญญา สุจินัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค. 52) มีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 347 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 73,955 ล้านบาท และคาดว่าก่อให้เกิดการจ้างงานไทยกว่า 30,303 คน โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมเดือนเดียว มีคำขอรับส่งเสริม 66 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 23,974 ล้านบาท หรือคิดเป็น 47% ของมูลค่าเงินลงทุนตลอดช่วง 6 เดือนแรก
“จำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากมูลค่าเงินลงทุนในเดือนกรกฎาคมเดือนเดียว มีมูลค่าขอรับส่งเสริมสูงถึงกว่า 23,974 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังให้ความสำคัญกับการเข้ามาลงทุนในกิจการในประเทศไทย ประกอบกับบีโอไอ ได้มีกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจว่าจนถึงสิ้นปี 2552 ทิศทางการลงทุนของไทยจะเริ่มกลับมามีแนวโน้มที่ดี ” นางหิรัญญากล่าว
สำหรับมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 7 เดือน กลุ่มนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ยังเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ถึง 130 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 30,181 ล้านบาท รองมาคือ ยุโรป มี 80 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7,196 ล้านบาท จีน 13 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 4,752 ล้านบาท เป็นต้น ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่สนใจจะเข้ามาลงทุน ส่วนใหญ่เป็นกิจการบริการและสาธารณูปโภคในภาคอุตสาหกรรม รองลงมาคือ กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า คำขอรับส่งเสริมส่วนใหญ่ เป็นการลงทุนเปิดกิจการใหม่มากถึง 192 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 38,738 ล้านบาท ในขณะที่การขยายการลงทุนของโครงการเดิมมีประมาณ 155 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 35,217 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ก็ยังมีกลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
นางหิรัญญา กล่าวด้วยว่า โครงการต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนปีนี้ มีโครงการขนาดใหญ่ถึง 15 โครงการ อาทิ โครงการลงทุนในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า กิจการโรงแรม กิจการผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าชธรรมชาติ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงาน กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเดินเรือทะเล กิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกิจการผลิตถ่านหิน (Coke) เป็นต้น