ผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย Bumiputra-Commerce Holdings Berhad (“BCHB”) ประกาศผลกำไรสุทธิ 1.277 พันล้านริงกิต ในครึ่งปีแรกของปี2552 พร้อมปรับเป้าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นเป็น 14 — 15%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 20, 2009 14:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย Bumiputra-Commerce Holdings Berhad (“BCHB”) Group ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศผลกำไรสุทธิ 1.277 พันล้านริงกิต ในครึ่งปีแรกของปี2552 ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ 7.8 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.362 ริงกิต ผลตอบแทนจากส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เทียบเต็มปี (Annualized ROE) คิดเป็น 14.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าเป้าดัชนีของกลุ่มของปี 2552 ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 12.5% โดยมีผลกำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจในไตรมาส 2/2552 อยู่ที่ 663 ล้านริงกิต ซึ่งสูงกว่าไตรมาส1/2552 คิดเป็น 8% “เรามีความยินดีที่สามารถสร้างประวัติการณ์ในการมีผลประกอบการอยู่เหนือเป้าหมายอีกไตรมาสหนึ่ง โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก CIMB Niaga มีผลประกอบการดีดตัวในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (net interest margin) ที่ปรับตัวดีขึ้น อัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งของรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริหารเงิน ในขณะที่ กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มวาณิชธนกิจ (Corporate and Investment Banking) มีกำไรดีดตัวกลับจากการปรับตัวของตลาดทุนในภูมิภาค” Dato' Sri Nazir Razak (ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค) BCHB Group CEO กล่าวว่า “ผลประกอบการที่เหนือความคาดหมาย เป็นผลมาจากการปรับใช้กลยุทธ์ในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการความผันผวนของรายได้ การปกป้องกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ และ การสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานเงินทุน รวมถึงการปฏิรูปธุรกิจ ธนาคารเพื่อผู้บริโภคมาเลเซีย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” BCHB Group มีรายได้ในครึ่งปีแรกของปี 2552 เพิ่มขึ้น 22.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 5.103 พันล้าน ริงกิตในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7.8% ทั้งนี้ ทั้งสองช่วงเวลาไม่สามารถเทียบเคียงกันได้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากครึ่งปีแรกของปี2552 ได้มีการซื้อกิจการ ธนาคาร Lippo Bank ในอินโดนีเซีย และไทยธนาคาร ในประเทศไทย คุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธุรกิจยังคงปรับปรุงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.4% จากเดิม 2.5% ณ 30 มีนาคม 2552 การตั้งสำรองหนี้เสียของกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้น 57.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 574 ล้านริงกิต ในครึ่งปีแรกของปี 2552 ส่งผลให้มีการเพิ่มการตั้งสำรองให้กับ CIMB Niaga แผนกต่างประเทศ ซึ่งรวมถึง CIMB Thai การตั้งสำรองหนี้เสียในประเทศมาเลเซียลดลง 25.7% อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อของ BCHB Group ในครึ่งปีแรกของปี2552 อยู่ที่ 0.42% (0.37% ไม่รวม CIMB Thai) อัตราส่วนความสามารถชำระค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญ (Loan loss coverage) ปรับปรุงดีขึ้นเป็น 86.8% จากเดิม 85.6% หากไม่รวม CIMB Thai ครึ่งปีแรกของปี 2552 อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และอัตราส่วนความสามารถชำระค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญ (Loan Loss Coverage) อยู่ที่ 2.1% และ 91.5% ตามลำดับ อัตราต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้น 52.2% จากเดิม 48.2% ในปีที่ผ่านมา อัตราดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่สูงซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อกิจการ CIMB Bank มีอัตราเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (risk weighted capital ratio) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 13.8% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 เทียบกับ 13.3% วันที่ 31 มีนาคม 2552 อัตราส่วนเงินลงทุนในบริษัทลูกต่อทุน (double leverage ratio) ของ BCHB และ อัตราเร่งอยู่ที 114.5% และ 29.5% ตามลำดับ ณ สิ้นสุดครึ่งปีแรกของปี 2552 CIMB Investment Bank สามารถรักษาความเป็นผู้นำ ในด้านการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ได้ รวมทั้งครองอันดับ 2 ในตลาดพันธบัตรออกใหม่และอันดับ 3 ในธุรกิจการให้คำแนะนำการควบรวมกิจการ (M&A) ในช่วง6 เดือนแรกของปี2552 นอกจากนี้ CIMB Islamic ยังสามารถครองอันดับ 2 ในธุรกิจวาณิชธนกิจอิสลาม ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ในขณะที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 2 ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในมาเลเซีย และสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจเงินฝากรายย่อยและบัตรเครดิต ในประเทศสิงคโปร์ CIMB-GK สามารถรักษาอันดับที่สี่ในตลาดการซื้อขายหลักทรัพย์ และเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการ ให้คำแนะนำแก่ธุรกิจและองค์กรต่างๆ ส่วนในประเทศอินโดนิเซีย CIMB Niaga ครองอันดับ 2 ในตลาดสินเชื่อบ้าน ในขณะเดียวกันCIMB GKสามารถไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ในการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ และอันดับ4 ใน IDR Sukuk. นอกจากนี้ CIMB Principal Asset Management สามารถครองอันดับ 2 ในธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ได้ ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค ได้กล่าวว่า “จากผลประกอบการที่ดีขึ้นของธนาคารในครึ่งแรกของปี ธนาคารคาดว่าในปี 2009 ทางธนาคารจะมีค่าROE ถึง14-15% ซึ่งสูงกว่าเป้า12.5% ของธนาคาร ส่วนกิจกรรมในตลาดทุนของมาเลเซีย และในภูมิภาค จะเติบโตขึ้น และสถานการณ์ทางการเงินของโลกมีทีท่าที่จะมั่นคงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารจะต้องดำเนินการ ด้วยความมีสติและความระมัดระวัง เนื่องจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจของโลกยังเปราะบางอยู่ และอาจจะมีปัญหา lag effect ของการเกิด NPL” “นอกจากนี้ ถึงแม้ว่า CIMB Niaga เพิ่งจะผ่านกระบวนการควบกิจการและการเปลี่ยนภาพลักษณ์ ขององค์กรนั้น ทางธนาคารยังสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของการเป็นเครือข่ายใหม่ของ CIMB ได้ สำหรับCIMB Thai และ CIMB Bank (Singapore) นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง และการวางรากฐานเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ทางธนาคารมีความพยายาม ที่จะใช้กลยุทธ์ต่างๆในการ ที่จะรวบรวมธุรกิจต่างๆใน ภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน ถึงแม้ว่าในปี 2552 ทางธนาคารจะพึ่งผลประกอบการส่วนใหญ่ของทางมาเลเซีย เป็นหลัก ในปีหน้าทางธนาคารหวังว่า เครือข่ายของธนาคารในต่างแดนจะเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตในกลุ่มธนาคาร” ข้อมูลเพิ่มเติม ผลประกอบการของ CIMB Niaga CIMB Niaga ได้แถลงถึงผลประกอบการของธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกของปี2552 ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2552ดังนี้ ผลกำไรของCIMB Niagaได้เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกัน ของปี2551 โดยมีผลกำไรเท่ากับ IDR 696 พันล้านในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมด้วยผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) 14.5% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ของอัตราดอกเบี้ยรับสุทธิ (NIM) ถึง 6.9% ในไตรมาสที่2 ของปี2552 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับอัตราสุทธิดอกเบี้ย ที่เติบโตเพียง 5.7% ในระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และการเพิ่มขึ้น ของรายได้ จากการบริหารเงินซึ่งการเติบโต ของรายได้เหล่านี้ สามารถทดแทนการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองหรือ Provision ที่ขึ้นมาถึง 15%ในไตรมาสที่2ของปี สำหรับด้านการปล่อยสินเชื่อ ยอดการปล่อยสินเชื่อของCIMB Niagaเติบโตขึ้น 3.3% (Y.O.Y) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 โดยสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ในขณะเดียวกันยอดสินเชื่อเพื่อการทำธุรกิจกลับลดลงเช่นเดียวกับยอดการทำธุรกิจ ในขณะเดียวกัน ธนาคารมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) 2.7% ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ2.3%ของระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เช่นเดียวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สุทธิ (Net NPL) กลับขึ้นถึง 1.7% จาก 1.5% อย่างไรก็ตาม CIMB Niaga มียอด NPL ต่ำเป็นอันดับ2 เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคาร อินโดนีเซีย สำหรับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (Loan Loss Coverage) ของธนาคาร เพิ่มขึ้นจาก 80.3% ในช่วงขึ้นปีแรก ของปี2551 เป็น 96.3% ในปีช่วงเวลาเดียวกันในปีนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี2552 CIMB Niaga มีอัตราเงินกองทุนขั้นที่1 (Tier 1 capital ratio) 12.3% และสัดส่วนเงินกองทุน ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Risk weighted capital) 15.4% ผลประกอบการของCIMB Thai CIMB Thai ได้แถลงถึงผลประกอบการของธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกของปี2552 ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2552 ดังนี้ CIMB Thai ขาดทุน 505 ล้านบาท จากรายได้3.416 พันล้านบาท การขาดทุนเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการควบคุม กิจการ การตั้งสำรองก่อนการควบรวม และความจริงที่ว่าCIMB Thai เพิ่มทุนสำเร็จในเดือนเมษายน 2552 อย่างไรก็ตาม รายได้ของCIMB Thai ปรับปรุงดีขึ้น 11.1% เทียบไตรมาสต่อไตรมาส ในขณะที่ผลขาดทุนลดลง 5% ซึ่งเท่ากับ246 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 CIMB Thai มีอัตราเงินกองทุนขั้นที่1 (Tier 1 capital ratio) 6.1% และสัดส่วนเงินกองทุน ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Risk weighted capital) 21.1% (วัดตามมาตรฐานของBasel II) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: สำนักสื่อสารองค์กร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์: 0-2638-8249, 8259 โทรสาร: 0-2633-9053

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ