G-FORCE หน่วยจารพันธุ์พิทักษ์โลก 1 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ และในระบบดิสนีย ดิจิตอล 3 มิติ

ข่าวบันเทิง Thursday August 27, 2009 14:06 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ส.ค.--วอล์ท ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โมชั่น พิคเจอร์ส เกี่ยวกับงานสร้าง ผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ได้ส่งภาพยนตร์สามมิติเรื่องแรกของเขาขึ้นสู่จอเงินด้วย “G-FORCE” การผจญภัยสุดขบขันเกี่ยวกับวิวัฒนาการใหม่แกะกล่องในโครงการลับของรัฐบาลที่จะฝึกฝนสัตว์ให้ทำหน้าที่สายลับ และหนูตะเภาที่มีอาวุธสายลับสุดไฮเทคครบมือและผ่านการฝึกฝนอย่างดี ก็ได้ค้นพบว่าชะตากรรมของโลกใบนี้อยู่บนอุ้งเท้าของพวกมันนี่เอง ผู้ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมกลุ่ม G-Force คือหนูตะเภาดาร์วิน (พากย์เสียงโดยแซม ร็อคเวล) หัวหน้าทีมที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น, บลาสเตอร์ (พากย์เสียงโดยเทรซีย์ มอร์แกน) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธตัวแสบที่รักทุกอย่างที่มันสุดขอบ และฮัวเรซ (พากย์เสียงโดยเพเนโลเป้ ครูซ) หนูสาวนักสู้สุดเซ็กซี พ่วงมาด้วยมูช แมลงวันนักสอดแนมและสเป็คเคิลส์ (พากย์เสียงโดย นิโคลัส เคจ) ตัวตุ่นจมูกดาว ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และข้อมูลข่าวสาร ระหว่างการผจญภัยสุดหฤหรรษ์ สมาชิกทีม G-Force ได้เจอกับเพื่อนพ้องสัตว์มากหน้าหลายตา ซึ่งรวมถึงเฮอร์ลีย์ (พากย์เสียงโดยจอน แฟฟโร) ปู่โสมเฝ้าร้านสัตว์เลี้ยงและบัคกี้ (พากย์เสียงโดยสตีฟ บุสเชมี) แฮมสเตอร์หวงถิ่น “G-FORCE” ที่กำกับโดย ฮอยท์ เอช. ยีทแมน จูเนียร์ ปรมาจารย์ด้านวิชวล เอฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัล อคาเดมี อวอร์ดนี้จะนำผู้ชมร่วมสนุกไปกับการผจญภัยอ็อกเทนสูง และพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่าโลกยังต้องการฮีโรตัวใหญ่กว่านี้ “มันสนุกดีนะครับที่ได้นำหนังที่มีธีมที่เราคุ้นเคยกันดีหรือกระทั่งธีมคลาสสิกมาดัดแปลงเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง” บรั๊คไฮเมอร์บอก “เรามีหนังสายลับมานานแล้วก่อนหน้าเจมส์ บอนด์เสียอีก และหนังที่มีสัตว์พูดได้และมีลักษณะนิสัยของตัวเองก็มีมาได้ซักพักแล้วเหมือนกัน แต่สิ่งที่เราไม่เคยเห็นคือหนังเกี่ยวกับสายลับที่ดันเป็นสัตว์ แล้วยิ่งมันมาผสมผสานกับไลฟ์แอ็กชัน และดิจิตอล 3D เข้าไปอีกด้วยน่ะครับ” ภาพยนตร์ที่ผสมผสานไลฟ์แอ็กชันเข้ากับ CG เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดยนักแสดงที่เป็นคนจริงๆ ซึ่งรวมถึงดาราเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ บิล ไนฮีย์ ในบทเลียวนาร์ด เซเบอร์ นักอุตสาหกรรมผู้ชั่วร้าย, วิลล์ อาร์เน็ตต์ในบทเจ้าหน้าที่พิเศษ คิป คิลเลียน ผู้อยากจะปิดหน่วย G-Force, แซ็ค กาลิเฟียนาคิส ในบทผู้สร้างและผู้เป็นเหมือนพ่อของหน่วย G-Force, รวมถึง เคลลี การ์เนอร์ ในบทสัตวแพทย์ประจำทีม “G-FORCE” ควบคุมงานสร้างโดยไมค์ สเตนสัน, แชด โอมาน, ดันแคน เฮนเดอร์สันและเดวิด พี.ไอ. เจมส์ บทภาพยนตร์โดยคู่สามีภรรยาวิบเบอร์ลีย์ (“National Treasure: Book of Secrets”) จากเรื่องราวโดยฮอยท์ เอช. ยีทแมน จูเนียร์และเดวิด พี.ไอ. เจมส์ ผู้ช่วยอำนวยการสร้างได้แก่แพท แซนด์สตัน, เท็ด เอลเลียต, เทอร์รี่ รอสซิโอและเรียวตะ คาชิบะ ทีมงานเบื้องหลังได้แก่ผู้กำกับภาพโบจัน บาเซลลี (“Hairspray,” “The Sorcerer’s Apprentice”), ผู้ออกแบบงานสร้างเด็บราห์ อีวานส์ (“Hostage,” “Remember the Titans”), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอลเลน มิโรจนิค (“D?j? Vu,” “Fatal Attraction,” “Wall Street”), คอมโพสเซอร์เทรเวอร์ ราบิน (“Armageddon” และ “National Treasure” ทั้งสองภาค, ซูเปอร์ไวเซอร์เจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด สก็อต สต็อคดิค (“Spider-Man,” “Spider-Man 2”) และผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ สแตน ปาร์คส์ (ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก “Hollow Man,” “D?j? Vu”) การสร้างกลุ่ม G-Force หนูตะเภาในห้องเรียนเด็กอนุบาลจุดประกายภาพยนตร์ “หนังเรื่องนี้มีที่มาที่น่าสนใจครับ” ผู้กำกับฮอยท์ เอช. ยีทแมน จูเนียร์บอก “ผมอยากจะพัฒนาโปรเจ็กต์ที่มีภาพแบบใหม่ขึ้นมา และจริงๆ แล้ว ลูกชายวัยห้าขวบของผมเป็นคนจุดประกายไอเดียนี้ขึ้นมาได้ เขาเอาหนูตะเภาจากโรงเรียนอนุบาลกลับมาบ้านแล้วก็เริ่มพูดจ้อเกี่ยวกับการที่มันจะเป็นทหาร สวมยูนิฟอร์มและหมวกทหารใบจิ๋ว ผมก็เลยพูดขึ้นมาว่า ‘ทำไมเราไม่ให้เจ้าพวกนี้เป็นสายลับซะเลยล่ะ’ น่ะครับ” “เราหัวเราะกัน” ยีทแมนเล่าต่อ “แต่พอผมเข้าอินเทอร์เน็ต ผมก็ได้พบเรื่องราวแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ฝึกสัตว์ให้ทำงานสายลับ ซึ่งก็มีทั้งแมว โลมา ปลาฉลามและแมลง มันเป็นตัวจุดประกายจินตนาการของพวกเราขึ้นมา และเราก็เดินหน้าต่อจากตรงนั้นครับ” “ไอเดียจากความคิดของเด็ก” ผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์บอก “เป็นไอเดียที่โอเวอร์สุดๆ ซึ่งมันโอเคสำหรับเรา เพราะมันเป็นไอเดียที่สดใหม่จริงๆ สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเรื่องราวเพ้อฝันใน ‘G-FORCE’ มีพื้นฐานจากความเป็นจริงบางอย่าง รัฐบาลได้มีโครงการลับสุดยอดที่พวกเขาจะฝึกสัตว์เพื่อใช้ในการป้องกันประเทศมาหลายปีแล้ว และสัตว์ที่ว่าก็จะมีทั้งโลมาที่คอยตรวจหาทุ่นระเบิดไปจนถึงแมลงสาปที่บรรทุกเครื่องมือบันทึกเสียง เราก็เลยผลักดันมันให้ไปอีกระดับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้านักวิทยาศาสตร์คิดวิธีที่นอกจากจะฝึกฝนสัตว์พวกนี้ได้แล้ว ยังสื่อสารกับพวกมันรู้เรื่องอีกด้วยน่ะครับ” จากคอนเซ็ปต์หนูตะเภาที่ได้อัพเกรดตัวเองกลายเป็นสายลับ ทีมผู้สร้างได้สร้างกลุ่ม G-Force ที่ประกอบด้วยหนูตะเภาสามตัว ตุ่นจมูกดาวและแมลงวัน ซึ่งทุกตัวก็ล้วนแล้วแต่ทุ่มให้งานสุดใจขาดดิ้น “พวกมันรู้ดีว่าชะตากรรมของโลกอาจตกอยู่ในอุ้งเท้าของมันได้ทุกเมื่อ” บรั๊คไฮเมอร์บอก แต่ในการทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เวิร์ค และน่าเชื่อ สัตว์พวกนี้ก็จะต้องสื่อสารออกมาได้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และนั่นก็เป็นหน้าที่ของดร.เบน เคนดัลล์ อัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหลังทีม G-Force ของเรื่อง “สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของเขาก็คือการใส่หูฟังพร้อมไมค์ขนาดเล็กให้พวกมัน ซึ่งหูฟังจะทำให้พวกมันพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อครับ” ยีทแมนกล่าว “ในหนัง พวกสัตว์เข้าใจภาษาอังกฤษอยู่แล้ว โดยในโลกของพวกมัน พวกมันก็จะพูดเหมือนเรานี่แหละครับ แต่ในการสื่อสารกับมนุษย์ พวกมันจะต้องใส่หูฟังอันนั้นครับ” ปฏิบัติการลับของดร.เคนดัลล์ยังรวมถึงการสร้างยุทโธปกรณ์น่าทึ่งมากมายไว้คอยช่วยเหลือเหล่า G-Force ซึ่งทำให้ทีม G-Force มีอุปกรณ์ครบมือที่ใช้ในการกอบกู้โลก ตั้งแต่ลูกบอลออกกำลังกายติดมอเตอร์ไปจนถึงกล้องตรวจการณ์กลางคืนและเครื่อง PDA จิ๋วที่ใช้ในการทหาร “พวกมันมีร่มชูชีพสำหรับการกระโดดความสูงต่ำ” ยีทแมนกล่าว “เมื่อพวกมันต้องกระโดดไปบนหลังคา ก็จะมีจรวดคอยช่วยส่งตัว ในโลกของ ‘G-FORCE’ หนูตะเภาพวกนี้มีอุปกรณ์เจ๋งๆ เยอะแยะครับ” การฝึกฝนและอุปกรณ์สายลับสุดไฮเทคของกลุ่ม G-Force ต้องถูกทดสอบเมื่อพวกมันค้นพบแผนการชั่วของมหาเศรษฐีนักอุตสาหกรรมที่ต้องการจะทำลายล้างโลก และเมื่องานเข้าแบบนี้ เหล่า G-Force ก็เลยต้องลงมือปฏิบัติการกอบกู้โลกอีกครั้ง เบื้องหลัง G-Force ทีมนักแสดงชั้นเยี่ยมเนรมิตชีวิตให้เหล่า G-Force ทีมนักพากย์ เช่นเดียวกับทีม G-Force ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการผลักดันเรื่องราวให้ไปอีกระดับหนึ่ง แต่ผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์บอกว่า มีอีกแง่มุมหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำให้ตัวละครสี่ขาของ G-Force โดนใจผู้ชม “พวกนักพากย์คือคนที่ทำให้สัตว์พวกนี้และโลกใบนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาครับ” บรั๊คไฮเมอร์กล่าว นิโคลัส เคจ ( “National Treasure”) แฟนตัวยงของภาพยนตร์อนิเมชัน ได้เข้ามาพากย์เสียงสเป็คเคิลส์ ตุ่นจมูกดาวตาบอดผู้ปราดเปรื่อง “G-FORCE” เป็นภาพยนตร์เรื่องที่หกที่เขาได้ร่วมงานกับบรั๊คไฮเมอร์ (โดยมี “The Sorcerer’s Apprentice” ตามมาเป็นเรื่องที่เจ็ด) และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง “เจอร์รี่โชว์ภาพตัวละครใน ‘G-FORCE’ ให้ผมดู แล้วก็บอกผมว่าผมจะพากย์บทไหนก็ได้” เคจเล่า “พอผมได้เห็นสเป็คเคิลส์ มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมันที่โดนใจผม แล้วผมก็คิดว่าผมน่าจะใส่อะไรที่น่าสนใจเข้าไปในเสียงของผมได้ ผมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะสร้างเสียงใหม่ที่แตกต่างจากเสียงแบบเดิมๆ ของผม แล้วก็เป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตของความเพี้ยนสุดขอบ สำหรับผม นั่นคือสิ่งที่ทำให้การพากย์เสียง สเป็คเคิลส์สนุกมาก และผมก็หวังว่าผู้ชมจะสนุกไปกับมันด้วยนะครับ” “หนึ่งในนักแสดงคนโปรดของผมคือ เมล บลังค์ครับ” เคจพูดถึงนักพากย์เบื้องหลังตัวการ์ตูนดังของวอร์เนอร์ อย่างบั๊กส์ บันนี, แด๊ฟฟี ดั๊ค, เอลเมอร์ ฟัดด์และโยสไมท์ แซม “เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม แต่เรารู้จักเขาก็แต่จากเสียงของเขาเท่านั้น ผมก็เลยคิดว่ามันคงน่าสนุกดีที่จะสร้างเสียงใหม่ๆ ให้กับตุ่นน้อยน่ารักตัวนี้ใน ‘G-FORCE’ น่ะครับ” “นิค เคจได้สร้างเสียงที่วิเศษสุดให้กับสเป็คเคิลส์ ที่เหมือนกับย้อนกลับไปหาตัวละครในยุค 30s ยังไงยังงั้นเลยครับ” บรั๊คไฮเมอร์บอก “แล้วก็มีแซม ร็อคเวล ผู้มีเสียงที่แข็งแกร่ง ทรงพลังและวิเศษสุดในฐานะดาร์วิน หัวหน้าทีมอีกครับ” “มันแปลกมากๆ เลยครับ” ร็อคเวลกล่าวถึงการเนรมิตให้ตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ “แต่พอพวกเขาพูดถึง ‘หนังแอ็กชันหนูตะเภา’ ผมก็โผเข้าใส่มันทันที ทำนองว่า ‘ผมเอาด้วย!’ ดาร์วินเป็นสุดยอดสายลับที่มีท่าทางแบบสตีฟ แม็คควีน ผมสนุกมากที่ได้พากย์เสียงแอ็กชันฮีโรครับ” ร็อคเวล (“Frost/Nixon,” “The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford”) เคยมีประสบการณ์เรื่องหนูตะเภามาก่อน เพราะเขาเลี้ยงหนูตะเภาตัวหนึ่งตอนที่เขายังเด็กๆ “มันชื่อราล์ฟและมันก็ชอบงับนิ้วผมบ่อยๆ ครับ” นักแสดงหนุ่มเล่า “มันไม่ได้รู้สึกดีเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าราล์ฟชอบผมมั้ย แต่ผมว่ามันมีปัญหาทางจิตมากกว่า ส่วนดาร์วินจะปรับตัวได้ดีกว่าเยอะ” ร็อคเวลได้บันทึกเสียงบางฉากของดาร์วินร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเขา จอน แฟฟโร (“The Break-Up,” “Four Christmases”) นักแสดงสมทบและผู้กำกับภาพยนตร์ฮิต “Iron Man” ได้พากย์เสียงเฮอร์ลีย์ หนูตะเภาสุดร่าเริงลั้ลลาตัวอ้วนกลม ที่สมาชิกทีม G-Force ได้พบในร้านขายสัตว์เลี้ยง “ผมเป็นตัวตลกในหนังเรื่องนี้ครับ” แฟฟโรบอก “ผมคิดว่าถ้าคุณจะรับบทเป็นหนูตะเภาล่ะก็ คุณก็คงอยากจะเป็นหนูตะเภาที่ตลก เฮอร์ลีย์คิดว่าดาร์วินเป็นพี่น้องของมัน เพราะพวกมันมีปานเหมือนๆ กัน และมันก็ยกย่องเชิดชูดาร์วินทีเดียวครับ เฮอร์ลีย์เติบโตขึ้นมาในร้านขายสัตว์เลี้ยง และไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน มันก็เลยต้องการความสนใจและความรัก ทีม G-Force กลายเป็นครอบครัวของมัน และดาร์วินก็กลายเป็นพี่น้องที่หายสาบสูญของมัน แม้ว่าจริงๆ แล้วอาจไม่ใช่ก็เถอะ ผมคิดว่าเฮอร์ลีย์เป็นศูนย์กลางด้านอารมณ์สำหรับหนูกลุ่มนี้” แฟฟโรสนใจเรื่องราวนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวและเหตุผลเชิงศิลปะ “การพากย์เสียงเป็นเรื่องสนุกครับเพราะคุณจะได้เป็นส่วนหนึ่งของหนัง โดยที่ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องทำนองว่าการออกนอกเมือง ไปใช้ชีวิตตามโรงแรม รอการเมคอัพ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมเป็นพ่อลูกสาม หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นโอกาสที่ผมจะได้มีส่วนร่วมกับหนังที่ครอบครัวผมสามารถดูด้วยกันได้น่ะครับ” เทรซีย์ มอร์แกน (ซีรีส์ “30 Rock,” “The Longest Yard”) ถูกทาบทามให้พากย์เสียงบลาสเตอร์ สมาชิกตัวสำคัญของทีม G-Force ผู้ขึ้นชื่อในเรื่องทัศนคติดื้อดึงและความชำนาญด้านอาวุธของมัน “บลาสเตอร์เป็นพวกเสพติดอะดรีนาลินครับ มันพร้อมที่จะออกปฏิบัติการเสมอ” ยีทแมนกล่าว “เทรซีย์นำอารมณ์ขันและจังหวะมุขแบบเดียวกับที่เขาใช้ใน ‘Saturday Night Live’ และ ‘30 Rock’ เข้ามาในเรื่องนี้ด้วย” เพเนโลเป้ ครูซ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ (ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Vicky Christina Barcelona”) พากย์เสียงฮัวเรซ ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้สุดเซ็กซีของทีม G-Force “ฮัวเรซเป็นสาวเซ็กซีที่คุณเอาชนะไม่ได้ครับ” ยีทแมนกล่าวกลั้วหัวเราะเมื่อพูดถึงตัวละครตัวนี้ ผู้กำกับกล่าวว่าครูซเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการพากย์เสียงฮัวเรซ “เพเนโลเป้ ครูซเป็นนักแสดงหญิงที่น่าทึ่ง ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พากย์เสียงตัวละครอนิเมชัน แต่เธอก็ได้ใส่อะไรมากมายให้กับบทบาทนี้ เธอมีเสียงทุ้มนุ่มที่ไพเราะและน่าทึ่ง มันเยี่ยมมากที่ได้ร่วมงานกับเธอครับ” สตีฟ บุสเชมี (“Ghost World,” “I Now Pronounce You Chuck & Larry”) ถูกทาบทามให้พากย์เสียงบัคกี้ “บัคกี้เป็นแฮมสเตอร์เจ้าอารมณ์ที่ตลกขบขันครับ” บรั๊คไฮเมอร์บอก “และสตีฟก็พากย์เสียงมันได้อย่างเพอร์เฟ็กต์” “สตีฟ บุสเชมีเป็นคนที่เยี่ยมมากๆ” ยีทแมนกล่าว “และแน่นอนว่าเขาเคยผ่านงานพากย์เสียงมาก่อนด้วย บัคกี้เป็นตัวละครที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการในเรื่องราว ในสคริปต์ดั้งเดิม มันเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งในมุมร้านขายสัตว์เลี้ยง แต่พอเราลงรายละเอียด เราก็ได้รู้ว่าบัคกี้ก็น่าจะเป็นแฮมสเตอร์ตัวร้ายสุดเจ๋งได้เหมือนกัน มันสนุกดีนะครับ แล้วสตีฟ บุสเชมีก็เพอร์เฟ็กต์สำหรับตัวละครอารมณ์แปรปรวนแบบนั้น เขาทำได้ดีเยี่ยมเลยล่ะครับ” ทีมนักแสดง ทีมนักแสดงที่รับบทมนุษย์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบไปด้วยทั้งนักแสดงดรามาและนักแสดงตลก ผู้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีทั้งในจอเงิน จอแก้ว ละครเวที หรือคลับและอินเทอร์เน็ต ในกรณีของแซ็ค กาลิเฟียนาคิส ผู้รับบทดร.เบน เคนดัลล์ในเรื่อง เมื่อเร็วๆ นี้ กาลิเฟียนาคิส หนึ่งในนักแสดงออฟบีทผู้ทุ่มเทและมีมุขไม่เหมือนใครที่สุดในประเทศ ได้เพิ่มความนิยมให้กับตัวเองด้วยการขโมยซีนจากบทตัวป่วนผู้น่ารักที่ร่วมแสดงกับแบรดลีย์ คูเปอร์และเอ็ด เฮล์มส์ในคอเมดีฮิตเรื่อง “The Hangover” “ตอนที่ผมได้เห็นผลงานของแซ็ค ผมก็รู้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดแปลกใหม่อย่างแท้จริง” บรั๊คไฮเมอร์บอก “ผมคิดว่าความแปลกใหม่นั้นกับอารมณ์ขันเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เขาเพอร์เฟ็กต์สำหรับการพากย์เสียงนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องผู้น่ารักอย่างเบนครับ” กาลิเฟียนาคิสอ้างว่าเขาต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อรับบทนักวิทยาศาสตร์ร่างอ้วนฉุผู้สร้างกลุ่ม G-Force ขึ้นมา “ผมเป็นคนขยันออกกำลังกาย เป็นคนขยันเข้าฟิตเนส แล้วผมก็ไป Souplantation บ่อยๆ ด้วย ผมรู้ว่านักแสดงหลายคนพูดกันถึงเรื่องนี้ แต่ผมต้องขุนน้ำหนักตัวเองขึ้นมาถึง 35 ปอนด์สำหรับเรื่องนี้เลยนะครับ ในตอนเริ่มต้นถ่ายทำ ผมก็เลยต้องสวมชิ้นส่วนเทียมเข้าไป แต่ที่สุดแล้ว น้ำหนักผมก็เพิ่มครับ” สูตรในการออกกำลังกายของกาลิเฟียนาคิสน่ะหรือ “ผมวิดพื้นวันละแค่สามครั้งเองครับ ผมคิดว่าทุกอย่างช่วยผมให้อ้วนได้ครับ ผมกินขนมธัญพืชคลิฟฟ์วันละสิบแท่ง ขนมบาลานซ์วันละหกแท่ง แล้วก็สมูธตี้เบคอนอีกสองสามแก้วครับ” สำหรับวิลล์ อาร์เน็ตต์ (ซีรีส์ “Arrested Development”) นักแสดงตลกพรสวรรค์อีกคนหนึ่ง เขาได้รับบทคิป คิลเลียน เจ้าหน้าที่พิเศษผู้ปราศจากอารมณ์ขัน “เมื่อถูกขอให้พูดถึงหนังเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ และครอบครัวฟัง ผมก็ถามพวกเขาว่า ‘พวกคุณเคยคิดไหมว่าหนูตะเภาจะพูดได้’ พวกเขาส่วนใหญ่ตอบว่า ‘ไม่เคย’ แล้วผมก็บอกว่า ‘แต่พวกมันพูดได้ มันเกิดขึ้นได้ และคุณบรั๊คไฮเมอร์ทำให้มันเกิดขึ้น’ น่ะครับ” อาร์เน็ตต์พูดถึงตัวละครของเขาว่าเป็น “ชายผู้เคร่งกฎ เขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฯ และเขาก็เชื่อว่า พวกเขาจะต้องรับใช้ชาวอเมริกันในแบบที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาสุดๆ เขาไม่เห็นด้วยกับโครงการบางอย่างที่มีอยู่แล้ว และเขาก็ตั้งใจที่จะตัดโครงการไร้สาระทิ้งไปและทำในสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเขามาเจอกับโครงการ G-Force ของดร. เคนดัลล์ เขาก็ไม่สบอารมณ์กับมัน และมันก็รบกวนใจเขาจริงๆ ครับ แล้วเมื่อเขาพยายามจะปิดโครงการนี้ เบน เคนดัลล์ก็ย้อนรอยเขา ซึ่งมันไม่ได้ดังใจคิป คิลเลียนเลย” บิล ไนฮีย์ (“Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest,” “Pirates of the Caribbean: At World’s End”) ถูกทาบทามให้รับบทเลียวนาร์ด เซเบอร์ “คุณมีทางเลือกในการพยายามอธิบายหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะอธิบายแบบยืดยาว ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเทคนิคมากๆ จนคนฟังมึนตึ้บ หรือคุณอาจจะบอกแค่ว่า ‘ผมอยู่ในหนังหนูตะเภา’ ก็ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วดีครับ แต่แน่นอนครับ พวกเขาก็จะคิดว่าคุณจะเป็นหนูตะเภาหรือพากย์เสียงหนูตะเภา แล้วผมก็ต้องอธิบายว่า เปล่า จริงๆ แล้ว ผมรับบทนักอุตสาหกรรมชื่อเลียวนาร์ด เซเบอร์ ผู้ปรารถนาจะยึดครองโลก แล้วทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นครับ” เคลลี การ์เนอร์ (“Lars and the Real Girl,” “Taking Woodstock”) นักแสดงหญิงพรสวรรค์ผู้รับบทมอริซ ฮอลแลนด์สเวิร์ธ สัตวแพทย์สาว พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครของเธอและสัตว์ใน “G-FORCE” ว่าเป็นแบบ “แม่รักลูก” “ฉันคิดว่าผู้หญิงดีๆ ทุกคน ไม่ว่าจะอายุมากน้อยแค่ไหน ต่างก็มีสัญชาตญาณความเป็นแม่ในตัวทั้งนั้นแหละค่ะ” นักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครมนุษย์ที่เหลือได้แก่ แจ็ค คอนลีย์ (“Fast & Furious,” “Traffic”), กาเบรียล แคสซุส (“Black Hawk Down”) และนีซี แนช (ซีรีส์ “Reno 911!” และ “Clean House”) เวทมนตร์ของ “G-FORCE” การสร้างหนูตะเภาสามมิติ ผู้กำกับฮอยท์ เอช. ยีทแมน จูเนียร์ หนึ่งในปรมาจารย์ด้านวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่ล้ำสมัยที่สุดในสายงานของเขา ได้ทำงานนี้ให้กับภาพยนตร์ของบรั๊คไฮเมอร์มาหลายเรื่องแล้ว “ผมรู้จักเจอร์รี่มาตั้งแต่ ‘Crimson Tide’ แล้วล่ะครับ” ยีทแมนกล่าว “ผมได้ทำงานใน ‘The Rock,’ ‘Armageddon’ และ ‘Kangaroo Jack’ ให้กับเขา เจอร์รี่ชอบทำทุกอย่างให้แปลกใหม่อยู่เสมอ เขาไม่มีกรอบอะไรมาปิดกั้นตัวเองเลยครับ” “ฮอยท์ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่จะทำให้สัตว์ CG สมจริงเหมือนกับภาพถ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แทนที่จะทำให้มันเป็นเหมือนตัวการ์ตูนครับ” บรั๊คไฮเมอร์เล่า “เขาเคยได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้รับรางวัลความสำเร็จด้านเทคนิคจากอคาเดมี และได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์จากผลงานของเขาในหนังดิสนีย์เรื่อง ‘Mighty Joe Young’ ซึ่งเขาได้สร้างสัตว์ CG ที่สมจริงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏบนจอเงินขึ้นมา เรามักจะผลักดันวิชวล เอฟเฟ็กต์ไปอีกขั้นเสมอและเราก็สนับสนุนให้ฮอยท์ผลักดันมันไปอีกขั้นสำหรับ ‘G-FORCE’ ครับ” “เราใช้ CG ที่ทันสมัยที่สุด แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากตัวละครล้วนๆ ครับ” ยีทแมนกล่าว “เราใช้ทั้งโลกไลฟ์แอ็กชันและโลกเสมือนจริง ซึ่งที่สุดแล้ว ผู้ชมก็จะมองไม่เห็นความแตกต่างหรอกครับ” วิธีหนึ่งที่ทีมผู้สร้างได้ใช้เพื่อทำให้แน่ใจว่าผู้ชมจะรู้สึกลุ้นไปกับการผจญภัยและความสนุกสนานของ “G-FORCE” คือการใช้เทคโนโลยี 3D ใหม่ล่าสุดจากโซนี พิคเจอร์ส อิเมจเวิร์คส์ “เราได้พิจารณาเทคโนโลยี 3D ใหม่ๆ เพื่อมองว่าพวกมันสามารถมอบอะไรให้กับหนังเรื่องนี้ได้บ้าง และเราก็มั่นใจว่าผู้ชมจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อย่างที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนครับ” บรั๊คไฮเมอร์กล่าว “ผมคิดว่าสิ่งที่หนังเรื่องนี้นำเสนอเป็น 3D ที่หนังเรื่องอื่นไม่มีคือมันเป็นหนังไลฟ์แอ็กชันที่มีอนิเมชันครับ” ยีทแมนกล่าว “ในการสร้างมิติให้กับหนังที่ผสมผสานระหว่างไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชันเป็นงานช้าง ซึ่งผมคิดว่าเราได้ก้าวสู่ขอบเขตใหม่ด้วยหนังเรื่องนี้ 3D เป็นการเพิ่มเลเยอร์เข้าไปอีกชั้น มันเหมือนกับการก้าวจากสีขาวดำไปสู่สีสัน จากหนังเงียบไปเป็นหนังมีเสียง การทำอะไรใหม่ๆ มันก็เป็นเรื่องสนุกอยู่แล้วล่ะครับ แต่มันก็น่ากลัวด้วยเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อมีการปิ๊งไอเดียเรื่อง 3D ขึ้นมา เราก็ต้องใช้ความคิดอย่างหนักและต้องคิดประดิษฐ์เครื่องมือใหม่ๆ เพื่อทำให้มันเกิดขึ้นได้ครับ” “ไอเดียใหม่อย่างหนึ่งที่เราทำสำเร็จคือการทำลายเฟรมครับ” ยีทแมนเล่าต่อ “ตัวละครของเราสามารถกระโดดออกจากเฟรมได้อย่างอิสระ ซึ่งช่วยทำให้ 3D มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ มันกระโดดออกมาหาผู้ชมจริงๆ ซึ่งเป็นเอฟเฟ็กต์ที่เยี่ยมมากครับ” “ทุกคนพยายามทำอะไรใหม่ๆ ครับ” สก็อตต์ สต็อคดิค ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ เจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากโซนี อิเมจเวิร์คส์บอก “เราอยากให้ผู้ชมมีประสบการณ์ดีๆ ที่แตกต่างจากโฮมเธียเตอร์ที่บ้าน ในตอนเริ่มต้นโปรเจ็กต์ ฮอยท์ได้ทำการทดสอบภาพ 3D และฉายมันขึ้นหน้าจอ มันเป็นภาพโคลสอัพของหนูตะเภา และมันก็มีชีวิตชีวาในแบบที่เป็นไปไม่ได้ในภาพสองมิติครับ” “โซนี อิเมจเวิร์คส์เคยทำงานให้กับหนังอนิเมชันเต็มรูปแบบอย่าง ‘Open Season,’ ‘Surf’s Up,’ ‘Beowulf’ และ ‘The Polar Express’ มาแล้ว” สต็อคดิคกล่าวต่อ “แต่การทำงานแบบนั้นในหนังแอ็กชัน ซึ่งผสมผสานไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชันด้วยกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย มันต้องอาศัยเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย มันเป็นกระบวนการที่ยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังที่มีภาพซับซ้อนอย่าง ‘G-FORCE’ แต่ผมคิดว่ามันจะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นจริงๆ ครับ” “เทคโนโลยี 3D พัฒนาขึ้นมากนับตั้งแต่ยุค 50s ครับ” บัซ เฮย์ส ผู้อำนวยการสร้างอาวุโสฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของโซนี อิเมจเวิร์คส์บอก “แม้กระทั่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เราก็ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวละครมักจะเข้ากับสิ่งแวดล้อม 3D ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับพวกแอ็กชัน และมันก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานอย่างแท้จริงครับ” ร็อบ เอนเกิล ซูเปอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ 3D กล่าวเสริมว่า “เทคโนโลยีดิจิตอลเป็นเหตุผลเบื้องหลังพัฒนาการที่ก้าวไกลของ 3D รวมไปถึงงานแสดงดิจิตอล ซึ่งเหนือกว่าทุกอย่างที่เราเคยมีมาก่อน ประเด็นสำคัญในการสร้างหนัง 3D ก็คือการที่จริงๆ แล้ว เราฉายหนังสองเรื่องให้คุณดู เรื่องหนึ่งสำหรับตาซ้ายและอีกเรื่องหนึ่งสำหรับตาขวา เทคโนโลยีดิจิตอลทำให้เราทำแบบนั้นได้ ซึ่งมันเป็นการก้าวกระโดดจากสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีถ่ายทำในอดีตน่ะครับ” “การสร้างตัวละครและทำให้มันดูเหมือนหนูตะเภาจริงๆ ซึ่งแสดงแอ็กชันพิเศษสุดได้เป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่เราทำครับ” สต็อคดิคอธิบาย “มันเป็นหนังที่เน้นการแสดงมากๆ และเราก็รู้ว่าการทำให้บุคลิกลักษณะของพวกมันโดดเด่นไม่เหมือนใครเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องทำการทดสอบอนิเมชันหลายต่อหลายครั้งเพื่อทำให้พวกมันเป็นตัวของตัวเอง เพื่อที่ลุคของพวกมันจะเข้ากับนิสัยของพวกมันน่ะครับ” ยุทโธปกรณ์ทีม G-Force ความคิดสร้างสรรค์ของทีมผู้สร้าง นอกเหนือจากเวทมนตร์ที่ฮอยท์ ยีทแมนและทีมงานของเขาจะเนรมิตในโลกดิจิตอลแล้ว เขาและผู้กำกับภาพโบจัน บาเซลลี ยังได้สร้างชุดอุปกรณ์การถ่ายทำที่จะทำให้ผู้ชมได้เห็นโลกจากมุมมองของสัตว์ขึ้นมาอีกด้วย บาเซลลี ศิลปินผู้กระตือรือร้นและเต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน ตื่นเต้นที่ได้ตอบรับความท้าทายในภาพยนตร์เรื่องนี้ และเขาก็เคยมีประสบการณ์ในการผสมผสานไลฟ์แอ็กชันเข้ากับอนิเมชัน CG มาก่อนแล้วด้วย “ผมรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีแบ็คกราวน์ด้านโฆษณา ที่เราได้ใช้ CG ในงานโพสต์โปรดักชันเยอะแยะครับ แต่ถึงอย่างนั้น งานในหนังเรื่องนี้ก็ยังซับซ้อนยิ่งกว่างานที่ผมเคยผ่านมาทั้งหมด ที่จะต้องทำความเข้าใจและสร้างสิ่งที่ไม่มีอยู่ให้เกิดขึ้นมา ผมกับฮอยท์เห็นพ้องต้องกันว่าวิธีการของพวกเราคือการถ่ายทำหนังเหมือนกับตัวละครทุกตัวมีอยู่จริงครับ” สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ยีทแมนและบาเซลลีได้ใช้ลักษณะการถ่ายทำแบบรู้บ โกลด์เบิร์ก ซึ่งตัวผู้กำกับยอมรับว่าเป็นกลไก “สุดพิลึก” ที่จะบันทึกภาพของโลกใบนี้จากมุมมองของสัตว์ได้ หนึ่งในเทคนิคใหม่ที่ถูกใช้คือเทคนิคจากกล้อง HDRI Cam ของยีทแมนที่เรียกว่า “Chirpy Cam” ซึ่งชื่อได้มาจากเสียงวี้ดๆ ของมัน “Chirpy Cam จะถ่ายทำภาพ 360 องศาได้ในแสงทุกระดับเท่าที่เป็นไปได้ครับ” บาเซลลีกล่าว “ดังนั้น มันก็เลยจะจำลองทุกส่วนของฉากและลักษณะแสงของฉากได้ เพื่อมันจะเข้ากับงาน CG ได้อย่างพอดิบพอดีครับ” นอกจากนี้ ยังมี “Mooch Vision” กล้องที่จะจำลองมุมมองของมูชระหว่างที่มันบินด้วย “Mooch Vision เป็นกล้อง 35 ม.ม. ที่มีมุมมองกว้างมากๆ ครับ” ยีทแมนอธิบาย ณ โลเกชัน สิ่งแวดล้อมจริงและเสมือน หน้าที่ในการสร้างสิ่งแวดล้อมทั้งจริงและเสมือนของเรื่องตกเป็นของผู้ออกแบบงานสร้างเด็บราห์ อีวานส์, ซูเปอร์ไวซิง อาร์ต ไดเร็กเตอร์ แรมซีย์ อาเวอรี และทีมงานแผนกศิลป์ของพวกเขา “เราได้ร่วมงานกับฮอยท์อย่างใกล้ชิดในการออกแบบฉากพวกนี้เพราะนั่นเป็นโลกของเขาค่ะ” อีวานส์กล่าว “เราต้องเข้ามีตติ้งกับฮอยท์และทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์หลายครั้งเพื่อหาวิธีผสมผสานฉากจริงๆ เข้ากับความต้องการฉากเสมือนของพวกเขาน่ะค่ะ” จริงๆ แล้ว แม้กระทั่งฉากจริงๆ ก็ยังเริ่มต้นขึ้นในรูปแบบของฉากเสมือน “เราสร้างฉากเสมือนขึ้นมาในคอมพิวเตอร์” อีวานส์อธิบาย “ซึ่งหลังจากนั้น เราก็จะส่งมันให้กับทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์และทีมพรีวิชวลไลเซชันเพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างอนิเมติกส์ขึ้นมากับสตอรีบอร์ดที่ฮอยท์วาดขึ้นด้วยมือ ด้วยวิธีนั้น พอเราออกแบบฉากขึ้นมา มันก็จะได้เข้ากับแอ็กชันอย่างพอดิบพอดีค่ะ” อาเวอรีเสริมว่า “เราต้องพินิจพิเคราะห์สตอรีบอร์ดหลายครั้งเพื่อคิดให้ออกว่าอะไรจะเป็นภาพจริงหรือไม่จริงในแต่ละเฟรมครับ” ฉากใหญ่ที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือห้องแล็บเครื่องจักรกลชีวภาพ (บี.ไอ.โอ.) พิลึกพิลั่นที่น่าประทับใจของดร.เบน เคนดัลล์ ที่ถูกสร้างขึ้นในโรงงานรถยนต์เก่าคร่ำครึในย่านดาวน์ทาวน์ของแอลเอ (ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ห้องแล็บบี.ไอ.โอ. มีหน้าฉากเป็น “บริษัทกำจัดปลวก ACME” “เราได้ออกแบบห้องแล็บนี้ให้มันดูเหมือนว่ามันถูกเบนสร้างขึ้นมาภายใต้งบประมาณที่จำกัดจำเขี่ย ด้วยการนำเศษตู้คอนเทนเนอร์ของทหารและชิ้นส่วนเครื่องบินมาประกอบเข้าด้วยกันค่ะ” อีวานส์อธิบาย สิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนและที่พักอาศัยสำหรับทีม G-Force ถูกก่อสร้างขึ้นมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แม้กระทั่งเครื่องซิมูเลเตอร์และเก้าอี้ชายหาด แล็บบี.ไอ.โอมีศูนย์ทำงานกลางซึ่งควบคุมศูนย์ฝึก ที่ประกอบไปด้วย เครื่องเดินวงรี ซิมูเลเตอร์ขับรถ RV ขนาดจิ๋ว อุโมงค์ลมและเครื่องส่งจดหมายตามท่อด้วยแรงลมเป่า ซึ่งคล้ายกับระบบเก่าในออฟฟิศที่ถูกใช้เพื่อส่งจดหมายไปตามส่วนต่างๆ ของอาคาร แต่ในกรณีนี้ มันถูกใช้เป็นทางลับสำหรับหลบหนีของทีม G-Force ในความเป็นจริงแล้ว ท่อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงงานรถยนต์เก่า ซึ่งทีมผู้สร้างได้ดัดแปลงมาอย่างชาญฉลาด “โลกทั้งหมดของ G-Force อยู่ในคอนเทนเนอร์ค่ะ” อีวานส์บอก “เราสร้างฟิตเนสสำหรับดาร์วินและฮัวเรซจากส่วนลำตัวเครื่องบินของผู้บริหาร ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นจากโลหะ เศษเหล็กและเครื่องใช้ไฟฟ้ารีไซเคิล “สเป็คเคิลส์เป็นช่างฝ่ายเทคนิคและการสื่อสารค่ะ” อีวานส์กล่าวต่อ “เราก็เลยใช้มือถือและชิ้นส่วนโทรศัพท์เก่าๆ มาสร้างเป็นที่อยู่ของมัน และสเป็คเคิลส์ก็แตกต่างจากสมาชิกตัวอื่นๆ ของ G-Force ที่นอนบนเตียงหลายชั้น ตรงที่สเป็คเคิลส์จะนอนในกล่องซีเรียลเก่าๆ ส่วนบลาสเตอร์เป็นหนูตะเภาร็อคแอนด์โรล มันก็เลยมีลำโพงอันเล็กๆ โปสเตอร์วงร็อคและหน้าจอทีวีขนาดยักษ์อยู่ในฉากของมันค่ะ” ธีมของการใช้ชีวิตและทำงานในคอนเทนเนอร์รีไซเคิลยังครอบคลุมถึงบ้านของเบน เคนดัลล์ด้วย อีวานส์และเอเวอรีได้พบบ้านหลังหนึ่งในเรดอนโด บีช, แคลิฟอร์เนีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากคอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าล้วนๆ และที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับบ้านหลังนี้คือ คฤหาสน์ของเลียวนาร์ด ซึ่งถูกถ่ายทำขึ้นที่คฤหาสน์ชาร์ปที่ลัคกี้ ด็อก แรนช์ในโซมิส, แคลิฟอร์เนีย อาคารทรงโพสต์โมเดิร์นที่เพรียวสวยหลังนี้ได้รับการออกแบบโดยโซลตัน พาลี สถาปนิกชื่อก้องโลก หากแต่สำหรับ “G-FORCE” ปรมาจารย์ด้านวิชวล เอฟเฟ็กต์ผู้นี้ได้ใช้เทคนิคดิจิตอลปรับเปลี่ยนแบบดีไซน์ของพาลีด้วยการเพิ่มชั้นที่สองเข้าไปในคฤหาสน์ชั้นเดียวแห่งนี้ โลเกชันและฉากอื่นๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ยังรวมถึงร้านขายสัตว์เลี้ยงเอเลียส์ เพ็ท ช็อป ซึ่งเป็นที่อาศัยชั่วคราวของทีม G-Force และทำให้พวกมันได้รู้จักสัตว์ตัวอื่นๆ รวมถึงเฮอร์ลีย์, คณะสามหนูผู้ร่าเริงและงูอารมณ์ร้าย ในความเป็นจริงแล้ว ภายนอกของร้านขายสัตว์เลี้ยงแห่งนี้ถูกถ่ายทำในร้านเอเลียส์ เพ็ท ช็อป ซึ่งตั้งอยู่ในถิ่นอีสต์ ลอสแองเจลิส ก่อนที่ฉากภายในจะถูกออกแบบโดยอีวานส์และถ่ายทำที่เดอะ คัลเวอร์ สตูดิโอส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของฉากภายในคฤหาสน์เซเบอร์, แล็บที่บ้านของเบนและภายในยานพาหนะสั่งการ ซึ่งตั้งอยู่บนฐานหมุนหกแกนซึ่งสั่งงานโดยคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน ส่วนบ้านกู๊ดแมน ที่ซึ่งเป็นที่อยู่ชั่วคราวของฮัวเรซและบลาสเตอร์ ตั้งอยู่บนถนนสายที่ปกคลุมไปด้วยร่มไม้ในพาซาเดนา ในขณะที่ถนนย่านชานเมืองซึ่งยามค่ำคืนจะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านเดินพาเหรดกันออกมาสร้างความวุ่นวายจะถูกถ่ายทำในสตีเวนสัน แรนช์ ทางเหนือของลอสแองเจลิส การนำเทคโนโลยีขึ้นสู่จอเงิน เครื่องกลไก สิ่งประดิษฐ์ และเครื่องใช้ภายในบ้านที่น่ากลัวบุก “G-FORCE” สายลับทุกคนจะต้องมียุทโธปกรณ์ของตัวเองและสมาชิกทีม G-Force ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะมีขนาดเพียงเศษเสี้ยวของขนาดปกติก็ตาม “สมาชิก G-Force ทุกตัวมีอุปกรณ์ครบชุดครับ” บรั๊คไฮเมอร์กล่าว “พวกมันมีร่มชูชีพ เครื่องพ่นไฟ และระบบสื่อสารของตัวเอง แมลงวันมูชมีเทคโนโลยีสอดแนมใหม่ล่าสุด ที่แม้แต่เจมส์ บอนด์ยังต้องอิจฉา” “เบน เคนดัลล์เป็นนักประดิษฐ์และนักผจญภัยของแท้และดั้งเดิมครับ” ยีทแมนบอก “เขามีอุปกรณ์ที่ใช้สร้างเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในแบบที่รัฐบาลอาจไม่มีงบสนับสนุนด้วยซ้ำไป เขาก็เลยเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าเขาจะต้องหาอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดที่ดีที่สุดให้กับทีม G-Force รวมถึงยานเคลื่อนที่เร็วหรืออาร์ดีวี ที่ดูเหมือนลูกบอลโปร่งใสเวอร์ชันทหารที่เหล่าแฮมสเตอร์และหนูตะเภาจะวิ่งอยู่ข้างในเพื่อเป็นการออกกำลังกาย ซึ่งพวกเราจะใช้มันในฉากไล่ล่าเจ๋งๆ ครับ” สมาชิกแต่ละตัวในทีม G-Force ต่างก็มีอาวุธชิ้นโปรดของตัวเองกันทุกตัว ดาร์วินชอบใช้กล้องตรวจการณ์ตอนกลางคืน มีดพลาสมาและพีดีเอสารพัดประโยชน์ บลาสเตอร์เองก็มีอุปกรณ์ดำน้ำ (ซึ่งรวมถึงสกู๊ตเตอร์น้ำประสิทธิภาพสูง) และตะขอเกี่ยว รวมถึงรถของเล่นที่บังคับด้วยรีโมตได้ ตัวฮัวเรซ ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ แม้เธอมักจะอาศัยทักษะของตัวเธอเอง แต่เธอก็ชำนิชำนาญในการใช้อุปกรณ์ดำน้ำ มีดโบโลและร่มชูชีพเป็นอย่างดี และแน่นอนสเป็คเคิลส์เองก็มีคอมพิวเตอร์คู่ใจของมัน ส่วนมูช อัจฉริยะด้านการสอดแนมและการติดต่อสื่อสาร ก็มีกล้องนาโน ที่สามารถฉายภาพที่มันเห็นให้ทั้งทีมดูได้ ไม่มีรายละเอียดใดที่หลุดรอดสายตายีทแมนและทีมออกแบบของเขาไปได้ “สเป็คเคิลส์มีห้องทำงานที่ไม่เหมือนใครครับ” ผู้กำกับกล่าว “ด้วยความที่มันเป็นตุ่นจมูกดาว มันก็เลยมีกรงเล็บที่ใช้สำหรับการขุด เราก็เลยรู้ว่าคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆ คงใช้ไม่ได้ เราก็เลยต้องออกแบบคีย์บอร์ดใหม่ในแบบที่ตัวตุ่นจะใช้ได้ขึ้นมาน่ะครับ” เด็บราห์ อีวานส์และทีมงานของเธอยังเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบเครื่องกลไก อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือของทีม G-Force รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านเซเบอร์เซนส์ ที่มีลุคเรโทร และสามารถแปลงijk’เป็นวายร้ายได้เมื่อเซเบอร์เริ่มเดินแผนการชั่วร้ายของเขา ในโลก “G-FORCE” เครื่องทำกาแฟ ตู้เย็น มิกเซอร์ เครื่องทำวาฟเฟิล เครื่องปั่น เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า ไดร์เป่าผมและเตาไมโครเวฟแบรนด์เซเบอร์ลิงต่างก็มีแง่มุมที่น่าสะพรึงกลัว (และน่าขบขัน) เมื่อมีการกดปุ่มที่ถูก (หรือผิด) “อุปกรณ์พวกนี้สร้างขึ้นจากแบบดีไซน์อุตสาหกรรมคลาสสิกในยุคที่ทุกอย่างสร้างขึ้นจากโลหะค่ะ” อีวานส์อธิบาย ซูเปอร์ไวซิง อาร์ต ไดเร็กเตอร์อาเวอรีกล่าวเสริมว่า “อุปกรณ์เครื่องใช้แต่ละชิ้น เมื่อมีชีวิตขึ้นมา จะให้ความรู้สึกแบบสัตว์นิดๆ ครับ เครื่องซักผ้าและไดร์เป่าผมจะเป็นเหมือนกอริลลา เครื่องปิ้งขนมปังจะพ่นไอร้อนใส่คุณ เครื่องทำกาแฟก็จะมีขางอกออกมาและจะเดินในลักษณะแปลกๆ เหมือนแฟรงค์เกนสไตน์ ส่วนไมโครเวฟก็พยายามจะล่อล่วงให้ตัวละครของเราเดินเข้าไปในตัวมันพร้อมกับขนมเค้กครับ” ผู้ที่รับผิดชอบการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าน่าสะพรึงกลัวและองค์ประกอบด้านแอ็กชันอื่นๆ ในเรื่องคือผู้ประสานงานคิวบู๊ ไบรอัน มัคเล็ท และดั๊ก โคลแมน และผู้กำกับยูนิทที่สอง เคนนี เบทส์ มัคเล็ทได้ทำการออกแบบความโกลาหลที่เกิดขึ้นระหว่างที่หน่วยช่วยเหลือตัวประกันของเอฟบีไอเข้าจู่โจมคฤหาสน์ล้ำสมัยของเลียวนาร์ด เซเบอร์ ส่วนตัวเบทส์เองก็จะคอยประสานงานและถ่ายทำฉากไล่ล่าทางรถยนต์ระหว่างเจ้าหน้าที่คาร์เตอร์และทริกสแต็ด ในรถเอสยูวีสีดำและดาร์วิน, ฮัวเรซและเฮอร์ลีย์ในยานเคลื่อนที่เร็วของทีม G-Force “ฉากไล่ล่าทางรถยนต์เป็นฉากคลาสสิกในหนังแอ็กชันครับ” บรั๊คไฮเมอร์บอก “แต่เราไม่อยากจะทำอะไรซ้ำกับที่เราเคยทำมา บุลลิตและป็อปอาย ดอยล์ไม่เคยต้องไล่จับหนูตะเภาสามตัวในอาร์ดีวีมาก่อนครับ” สำหรับบรั๊คไฮเมอร์ ยีทแมนและทีมงานนักแสดงรวมถึงทีมงานเบื้องหลังมากพรสวรรค์ของพวกเขา ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา “ผมคิดว่า ‘G-FORCE’ ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับทุกคนในครอบครัว” ยีทแมนกล่าว “ผู้ชมจะชื่นชอบการได้เห็นสัตว์พวกนี้ในฉากของหนังแอ็กชัน และอาจต้องมองซ้ายมองขวาทุกครั้งที่พวกเขาเปิดสวิทช์เครื่องปั่นน้ำผลไม้ครับ!” เกี่ยวกับนักแสดง ทีมนักพากย์ นิโคลัส เคจ (พากย์เสียงสเป็คเคิลส์) เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เป็นหนึ่งในนักแสดงที่มากความสามารถที่สุดตลอดกาล โดยเขาเป็นที่รู้จักในบทบาทของเขาทั้งในดรามาและคอเมดี “G- FORCE” เป็นผลงานเรื่องที่หกในบรรดาเจ็ดเรื่องที่เคจได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ หลังจาก “The Rock,” “Con Air,” “Gone in 60 Seconds,” “National Treasure,” “National Treasure: Book of Secrets” และ “The Sorcerer’s Apprentice” ที่เขาเพิ่งเริ่มถ่ายทำที่โลเกชันในนิวยอร์กโดยมีผู้กำกับเทอร์เทลท็อบจาก “National Treasure” มานั่งแท่นผู้กำกับ ล่าสุด เคจเพิ่งแสดงภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง “Knowing” ซึ่งเปิดตัวอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาในเดือนมีนาคม ปี 2009 การแสดงที่น่าจดจำของเขาในบทชายขี้เหล้าในดรามาเอ็มจีเอ็มเรื่อง “Leaving Las Vegas” ที่กำกับโดยไมค์ ฟิกกิส ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำ รวมไปถึงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ก สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโกและสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ หลังจากนั้น เคจก็ยิ่งทำให้สถานะพระเอกของเขามั่นคงขึ้นเมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลสมาพันธ์นักแสดงและรางวัลบาฟตาจากบทพี่น้องฝาแฝดชาร์ลีและโดนัลด์ คอฟแมนในคอเมดีแปลกประหลาดของผู้กำกับสไปค์ โจนซ์เรื่อง “Adaptation” ซึ่งร่วมแสดงโดยเมอริล สตรีพและคริส คูเปอร์ แซม ร็อคเวล (พากย์เสียงดาร์วิน) กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีความเปลี่ยนแปลงสูงสุดคนหนึ่งในบรรดานักแสดงรุ่นเดียวกัน ด้วยการรับบทที่ท้าทายทั้งในภาพยนตร์อินดีและภาพยนตร์สตูดิโอใหญ่อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ร็อคเวลได้นำแสดงในภาพยนตร์โดยดันแคน โจนส์เรื่อง “Moon” ให้กับโซนี พิคเจอร์ส คลาสสิกส์ ซึ่งเพิ่งจะได้รับรางวัลไมเคิล พาวเวลล์ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเอดินเบิร์กห์ครั้งที่ 63 ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Iron Man 2” ประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Betty Anne Waters” ที่เขาแสดงประกบฮิลลารี สแวงค์ หลังจากนี้ เขาจะแสดงประกบโรเบิร์ต เดอนีโรในภาพยนตร์เรื่อง “Everybody’s Fine” ให้กับมิราแมกซ์และ “The Winning Season” ให้กับไลออนส์ เกท ร็อคเวลได้สร้างตัวละครที่น่าจดจำมากมายในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์ชื่อดังโดยแอนดรูว์ โดมินิคเรื่อง “The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford,” ภาพยนตร์โดยเดวิด กอร์ดอน กรีนเรื่อง “Snow Angels,” ภาพยนตร์คอเมดีโดยพี่น้องรุสโซเรื่อง “Welcome to Collinwood,” ภาพยนตร์โดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “Heist,” ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Charlie’s Angels,” และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ของแฟรงค์ ดาราบอนท์เรื่อง “The Green Mile” จอน แฟฟโร (พากย์เสียงเฮอร์ลีย์) เป็นนักแสดงมากความสามารถอย่างแท้จริง หลังจากที่เขาได้ก้าวสู่การเป็นนักแสดงใน “Rudy” แล้ว แฟฟโรก็ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนักเขียนดังเจ้าของผลงานคอเมดีฮิปสเตอร์ชื่อดังอย่าง “Swingers” นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้ท้าทายตัวเองด้วยโปรเจ็กต์ที่หลากหลาย ความสำเร็จครั้งล่าสุดของแฟฟโรในฐานะผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างคือบล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Iron Man” ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 570 ล้านเหรียญทั่วโลก ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการเตรียมงานภาพยนตร์เรื่อง “Iron Man 2” ที่มีกำหนดจะลงโรงในปี 2010 ซึ่งเขานั่งแท่นกำกับ เมื่อเร็วๆ นี้ แฟฟโรเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “Couples Retreat” ที่เขาเขียนบทและนำแสดง ก่อนหน้า “Iron Man” แฟฟโรได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Zathura” ภาพยนตร์ผจญภัยสำหรับเด็กๆ ที่นำแสดงโดยทิม ร็อบบินส์ ให้กับเรดาร์ พิคเจอร์ส และโซนี เอนเตอร์เทนเมนต์ ในปี 2003 แฟฟโรได้กำกับภาพยนตร์สำหรับเทศกาลยอดฮิต “Elf” ที่นำแสดงโดยวิลล์ เฟอร์เรล ให้กับนิวไลน์ ซีเนมา แฟฟโรได้เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วย “Made” ที่เขาเป็นผู้เขียนสคริปต์และแสดงประกบวินซ์ วอห์นและฌอน “พัฟฟี” คอมบ์ ให้กับอาร์ทิซาน เอนเตอร์เทนเมนต์ ด้านหน้ากล้อง เมื่อเร็วๆ นี้ แฟฟโรเพิ่งได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “I Love You, Man” กับพอล รัดด์, ราชิดา โจนส์และเจสัน ซีเกิล และแสดงประกบวอห์นและเจนนิเฟอร์ อานิสตันในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง “The Break-Up” เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังได้แสดงประกบวอห์นและรีส วิธเธอร์สปูนในภาพยนตร์เรื่อง “Four Christmases” นอกจากนี้ แฟฟโรยังได้แสดงประกบเคิร์สเทน ดันส์และพอล เบ็ตตานีย์ในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง “Wimbledon,” ในภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง “Something’s Gotta Give” ที่ร่วมแสดงโดยแจ็ค นิโคลสัน, ไดแอน คีย์ตันและคีอานู รีฟส์และในภาพยนตร์โดยมาร์ค สตีเวน จอห์นสันเรื่อง “Daredevil” ที่ร่วมแสดงโดยเบน แอฟเฟล็คและดัดแปลงจากแฟรนไชส์ของมาร์เวล คอมิกส์ให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์-รีเจนซี เอนเตอร์ไพรส์ และเขายังได้รับบทแชมเปี้ยนมวยรุ่นเฮฟวีเวทในภาพยนตร์อัตชีวประวัติโดยเอ็มจีเอ็มเรื่อง “Rocky Marciano” อีกด้วย เพเนโลเป้ ครูซ (พากย์เสียงฮัวเรซ) เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงมากความสามารถด้วยการรับบทเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์หลากหลายและล่าสุด เธอก็กลายเป็นนักแสดงหญิงคนแรกจากสเปนที่ได้รับการเสนอชื่อและคว้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ดมาได้จากภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Vicky Christina Barcelona” ครูซเป็นที่รู้จักของผู้ชมอเมริกันครั้งแรกจากภาพยนตร์สเปนเรื่อง “Jamon, Jamon” และ “Belle Epoque” ก่อนที่เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเธอ “The Hi-Lo Country” ให้กับผู้กำกับสตีเฟน เฟรียส์ ประกบวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, แพทริเซีย อาร์เควทท์และบิลลี ครูดัพ ในปี 1999 ครูซได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลโกยา อวอร์ดครั้งที่ 13 ของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์สเปน จากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยเฟอร์นันโด ทรูบาเรื่อง “The Girl of Your Dreams” ผลงานหลังจากนั้นของครูซคือภาพยนตร์โดยนิวไลน์ ซีเนมาเรื่อง “Blow” ของผู้กำกับเท็ด เดมม์และ“Captain Corelli’s Mandolin” ประกบนิโคลัส เคจ หลังจากนั้น เธอก็ได้แสดงประกบทอม ครูซในภาพยนตร์ทริลเลอร์อีโรติกเรื่อง “Vanilla Sky” ก่อนที่เธอจะไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง “Masked & Anonymous,” “Fan Fan la Tulipe” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2003 และ “Don’t Tempt Me” เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามจากการแสดงของเธอใน “Don’t Move” ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลเดวิด ดิ ดอนนาเทลโล อวอร์ด (ซึ่งเป็นรางวัลของอิตาลีที่เทียบเท่ากับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด) และรางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สตีฟ บุสเชมี (พากย์เสียงบัคกี้) ได้สร้างชื่อเสียงของเขาจากการสวมบทเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์และน่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ร่วมสมัย บุสเชมีได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด รางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากบทบาทของเขาในภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มเรื่อง “Ghost World” ที่กำกับโดยเทอร์รี สวิกออฟและร่วมแสดงโดยธอรา เบิร์ชและสการ์เล็ตต์ โยฮันสัน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและรางวัลดีจีเอ อวอร์ดจากการกำกับเอพิโซดเรื่อง “Pine Barrens” ระหว่างซีซันที่สี่ของซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “The Sopranos” หลังจากนั้น เขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทโทนี บลันเด็ตโตในซีซันที่ห้าของซีรีส์ดังกล่าว ไอเอฟซีได้ปล่อยผลงานการกำกับเรื่องที่สามของเขา “Lonesome Jim” คอเมดีดรามาเกี่ยวกับครอบครัวที่ล้มเหลว ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 10 ภาพยนตร์อินดียอดเยี่ยมแห่งปีโดยสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ ผลงานเรื่องล่าสุดของเขา ซึ่งเขาร่วมแสดงด้วย คือ “Interview” ที่ร่วมแสดงโดยเซียนนา มิลเลอร์ ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เมื่อปีที่แล้ว เทรซีย์ มอร์แกน (พากย์เสียงโดยบลาสเตอร์) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด รับบทเทรซี จอร์แดน ดาราหนังผู้มีนิสัยคาดเดาไม่ได้ในซีรีส์เอ็นบีซีที่ได้รับสองรางวัลเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง “30 Rock” คอเมดีเกี่ยวกับที่ทำงานเบื้องหลังรายการวาไรตี้ไลฟ์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของมอร์แกนได้แก่ “The Longest Yard,” “Little Man,” “Jay and Silent Bob Strike Back” และ “Head of State” ล่าสุด เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “First Sunday” ประกบไอซ์ คิวบ์และแคทท์ วิลเลียมส์ ให้กับโซนี พิคเจอร์ส ล่าสุด เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Superhero Movie” และโปรเจ็กต์หลังจากนี้ของเขาได้คือ “Nailed” ที่กำกับโดยเดวิด โอ. รัสเซล และร่วมแสดงโดยเจค จิลเลนฮาลและเจสสิก้า บีล นอกเหนือไปจากการได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด เขาและเพื่อนร่วมแสดง “30 Rock” ยังได้รับรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี ประจำปี 2009 อีกด้วย ทีมนักแสดง บิล ไนฮีย์ (เลียวนาร์ด เซเบอร์) เกิดในคาเตอร์แฮม, เซอร์รีย์ ในปี 1949 และฝึกฝนการแสดงละครเวทีในกิลด์ฟอร์ด สคูล ออฟ แอ็กติ้ง เขาได้เปิดตัวบนเวทีละครที่นิวส์เบรี วอเตอร์มิลล์ และหลังจากนั้น เขาก็สั่งสมประสบการณ์จากการแสดงในโรงละครท้องถิ่นอย่างเอดินเบิร์กห์ ทราเวิร์ส, เดอะ เชสเตอร์ เกทเวย์และลิเวอร์พูล เอฟเวอรีแมน ในลิเวอร์พูลนั้นเองที่เขาได้เริ่มก่อตั้งคณะละครเร่ร่วมกับจูลี วอลเตอร์สและปีเตอร์ โพสเทิลเวท ซึ่งได้เปิดการแสดงที่โรงละครหลายแห่ง เขาได้แสดงในลอนดอนเป็นครั้งแรกในละครเรื่อง “Comings and Goings” ที่จัดแสดงขึ้นที่แฮมป์สเตด เธียเตอร์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1978 ไนฮีย์ได้เปิดตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในตอนต้นของยุค 1980s ในภาพยนตร์เรื่อง “The Little Drummer Girl” ภาพยนตร์เรื่อง “The Constant Gardener” ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงจากนิยายโดยจอห์น เลอ คาร์ ทำให้เขาได้รับรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปี 2005 แต่ภาพยนตร์เรื่อง “Still Crazy” และบทเรย์ ซิมส์ นักร้องเพลงร็อควัยชราคือสิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังในแวดวงภาพยนตร์และทำให้เขาได้รับรางวัลปีเตอร์ เซลเลอร์ส อวอร์ดสาขาการแสดงคอเมดียอดเยี่ยมจากลอนดอน อีฟนิง สแตนดาร์ด ไนฮีย์ได้รับรางวัลปีเตอร์ เซลเลอร์สครั้งที่สองจากบทบิลลี แม็ค ร็อคสตาร์ที่ถูกลืมใน “Love Actually” การแสดงยอดนิยมที่ทำให้เขาได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนและรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เมื่อปีที่ผ่านมา ไนฮีย์ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Valkyrie” กับทอม ครูซ, “Underworld: Rise of the Lycans,” ภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง “The Boat That Rocked” และ “Wild Target” ประกบเอมิลี บลันท์และรูเพิร์ต กรินท์ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์โดยสตีเฟน โพเลียคอฟฟ์เรื่อง “Glorious 39” ในระยะหลังมานี้ วิลล์ อาร์เน็ตต์ (เจ้าหน้าที่พิเศษคิป คิลเลียน) เป็นนักแสดงที่มีงานชุมเป็นพิเศษ หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงประกบคริสเตน เบลและแองเจลิกา ฮูสตันในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีโดย วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่อง “When in Rome” โดยเขาจะรับบทชายหนุ่มผู้พยายามจะเอาชนะใจหญิงสาว (เบล) หลังจากที่เธอขโมยเหรียญจากน้ำพุแห่งความรักในกรุงโรม และเขาก็เพิ่งจะเริ่มงานถ่ายทำภาพยนตร์แอ็กชันเวสเทิร์นโดยวอร์เนอร์ บรอส.และลีเจนดารีเรื่อง “Jonah Hex” ซึ่งสร้างขึ้นจากการ์ตูนของดีซี คอมิกเรื่องเดียวกัน ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวที่จะลงโรงซัมเมอร์ปีหน้า อาร์เน็ตต์จะแสดงประกบเมแกน ฟ็อกซ์, จอช โบรลินและจอห์น มัลโควิช ในช่วงต้นปีนี้ อาร์เน็ตต์ได้พากย์เสียงในภาพยนตร์อนิเมชันผจญภัยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของดรีมเวิร์คส์ 3-D เรื่อง “Monsters vs. Aliens” ร่วมกับรีส วิธเธอร์สปูน, พอล รัดด์และเซธ โรแกน ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ เมื่อปีที่แล้ว เขาได้นำแสดงในคอเมดีเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลเรื่อง “Semi-Pro” ประกบวิลล์ เฟอร์เรลและวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน และได้ร่วมพากย์เสียงกับจิม แคร์รีย์และสตีฟ คาเรลในคอเมดีอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง “Horton Hears a Who” ในปี 2007 เขาได้แสดงประกบวิลล์ เฟอร์เรลและเอมี โพห์เลอร์ ภรรยาของเขาในคอเมดีเกี่ยวกับฟิกเกอร์สเก็ตเรื่อง “Blades of Glory” และได้ร่วมแสดงกับวิลล์ ฟอร์เต้ในภาพยนตร์เรื่อง “The Brothers Solomon” แซ็ค กาลิเฟียนาคิส (ดร. เบน เคนดัลล์) เป็นนักแสดง นักแสดงตลกและนักเขียนบท ผู้ได้แสดงประกบแบรดลีย์ คูเปอร์และเอ็ด แฮร์ริสในภาพยนตร์คอเมดีฮิตเรื่อง “The Hangover” เขาเกิดในวิลเคสโบโร, นอร์ธ แครอไลนา และได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ธ แครอไลนา ในสาขาการสื่อสารและภาพยนตร์ แต่กาลิเฟียนาคิสก็เลิกเรียนก่อนที่จะจบการศึกษาและย้ายไปนิวยอร์ก ซิตี้ในปี 1992 เพื่อยึดอาชีพนักแสดง ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็กลายเป็นนักแสดงสแตนด์อัพ คอเมดี ที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมด้วยการแสดงออฟบีทของเขา ซึ่งหลายครั้งเทียบชั้นได้กับศิลปะการแสดง ในปี 1996 กาลิเฟียนาคิสได้ขยับขยายไปสู่แวดวงจอแก้ว ด้วยการรับบทบ็อบบี้ในซิทคอมเรื่อง “Boston Commons”เขาได้เปิดตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2001 ด้วย “Out Cold” ตามมาด้วยการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Corky Romano,” “Below,” “Bubble Boy” และ “Heartbreakers” ในเดือนมีนาคม ปี 2007 ดีวีดีผลงานของกาลิเฟียนาคิสเรื่อง “Live at the Purple Onion” ได้วางจำหน่ายและสามเดือนให้หลัง เคย์น เวสต์ก็ทาบทามให้เขาไปแสดงในมิวสิค วิดีโอเพลง “Can’t Tell Me Nothing” ของเขาที่ได้รับการเปิดในเว็บไซต์ของเวสต์ และถ่ายทำที่ฟาร์มของกาลิเฟียนาคิสในนอร์ธ แครอไลนา เมื่อเร็วๆ นี้ กาลิเฟียนาคิสได้แสดงในภาพยนตร์ชื่อดังของฌอน เพนน์เรื่อง “Into the Wild” ตามมาด้วย “Visioneers,” “What Happens in Vegas,” “Gigantic,” “Rogue’s Gallery,” “Little Fish, Strange Pond” และ “Youth in Revolt” ปัจจุบัน เขากำลังแบ่งเวลาระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ในเวนิส, แคลิฟอร์เนียและในฟาร์มพื้นที่ 60 เอเคอร์บริเวณตีนเขานอร์ธ แครอไลนา ที่เขาหวังจะเปลี่ยนให้กลายเป็นกระท่อมเขียนหนังสือ เคลลี การ์เนอร์ (มาร์ซีย์ ฮอลแลนด์สเวิร์ธ) เป็นหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งยุคปัจจุบัน ด้วยการสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมด้วยผลงานภาพยนตร์และละครเวทีของเธอที่ครอบคลุมทั้งดรามาและคอเมดี บนจอเงิน เธอได้รับบทเฟธ โดเมอร์กิว นักแสดงหญิงที่มีชีวิตอยู่จริง ประกบลีโอนาร์โด ดิคาปริโอในบทโฮเวิร์ด ฮิวจ์ในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลของมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง “The Aviator” และประกบไรอัน กอสลิงในภาพยนตร์โดยเคร็ก กิลเลสพีเรื่อง “Lars and the Real Girl” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ ภาพยนตร์โดยสตีเฟน เฮเร็คเรื่อง “Man of the House,” ภาพยนตร์โดยแลร์รี คลาร์กเรื่อง “Bully,” ภาพยนตร์โดยไมค์ มิลส์เรื่อง “Thumbsucker,” “Dreamland” และ“Love Liza” ที่ร่วมแสดงโดยฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน ไทเลอร์ แพทริค โจนส์ (คอนเนอร์) ได้แสดงในซีรีส์ “Judging Amy,” “Family Law” และ “So Little Time” รวมถึงโฆษณาหลายชิ้นก่อนที่จะก้าวเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ ในปี 2002 เขาได้รับบทลูกชายที่ถูกลักพาตัวไปของทอม ครูซในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง “Minority Report” หลังจากนั้น โจสส์ก็รับบทที่เข้มข้นที่สุดในชีวิตนักแสดงของเขาด้วยการรับบทลูกชายของเอ็ดเวิร์ด นอร์ตันในภาพยนตร์โดยเบรท แรทเนอร์เรื่อง “Red Dragon” โจนส์ได้รับรางวัลศิลปินรุ่นเยาว์ยอดเยี่ยมครั้งที่สองจากการแสดงครั้งนี้ของเขา (เขาได้รับรางวัลนี้ครั้งแรกในปีก่อนหน้านี้จากโฆษณาฮอลมาร์ค) โจนส์ได้แสดงในรีเมกภาพยนตร์คอเมดีคลาสสิกที่นำแสดงโดยลูซิลล์/เฮนรี ฟอนดาเรื่อง “Yours, Mine and Ours” ที่เล่าเรื่องราวชีวิตสุดอลหม่านของคุณพ่อลูกแปด (เดนนิส เควด) ผู้พบและตกหลุมรักคุณแม่ลูกสิบ (เรเน รุสโซ) และเขาก็ได้รับบทเน็ดในซีรีส์ซีบีเอสที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮูวิตต์เรื่อง “Ghost Whisperer” นานสองซีซัน เขาได้แสดงในซีรีส์ “Private Practice” และ “Ben 10 Live” และได้แสดงในโฆษณาโทรทัศน์หลายชิ้น ลูดอน เวนไรท์ เดอะ เธิร์ด (คุณปู่กู๊ดแมน) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บ็อบ ดีแลนคนใหม่” ในช่วงปลายทศวรรษ 60s เมื่อเขาเริ่มแสดงในโฟล์คคลับในบอสตันและนิวยอร์ก ไหวพริบและอารมณ์ขันของเขาทำให้มีแฟนๆ ติดตามจำนวนหนึ่งและในปี 1972 เขาก็ได้มีเพลงฮิตที่ติดอันดับท็อป 40 “Dead Skunk” กลางทศวรรษนั้น เขาได้สร้างชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในศิลปินตัวจริงในแวดวงโฟล์คร็อค และเขาก็แตกต่างจากเพื่อนๆ ของเขาตรงที่เขาชื่นชอบเสื้อสักหลาดและผมเรียบเนี้ยบของพี่น้องบรูคส์ และชื่อเสียงนั้นก็ขจรขจายไปไกลถึงขั้นที่เขาได้รับการทาบทามให้รับบทประจำในซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “M*A*S*H” ที่เขาได้รับบทคาลวิน สพอลดิง “ศัลยแพทย์ร้องเพลง” แม้ว่าเวนไรท์จะยังคงมีบทบาทหน้ากล้อง ด้วยการแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องอย่างต่อเนื่องเช่น “The 40-Year-Old Virgin,” “The Slugger’s Wife” และ “Elizabethtown” เขากลับรู้สึกสบายใจที่สุดเมื่อได้เล่นกีตาร์ หรือจับปากกา โดยในยุค 80s เขาได้ปล่อยอัลบัมที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงอย่าง Fame and Wealth และ Therapy ออกมาในปี 1989 ในระยะหลังมานี้ เวนไรท์ได้สร้างฐานผู้ฟังกลุ่มใหม่ ด้วยผลงานซาวน์แทร็ค เช่นเพลงที่เขากับโจ เฮนรีได้ร่วมกันร้องสำหรับบล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Knocked Up” เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง ฮอยท์ เอช. ยีทแมน จูเนียร์ (กำกับ/เรื่องราวโดย) ได้มีส่วนร่วมในการคิดคอนเซ็ปต์ การออกแบบ การควบคุมและงานสร้างสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ ซีรีส์โทรทัศน์และโฆษณากว่า 100 ชิ้น และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเริ่มแรกของดรีม เควสท์ อิเมจิส บริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดอีกด้วย วิธีการแปลกใหม่ของยีทแมนในการสร้างสเปเชียล วิชวล เอฟเฟ็กต์ได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทที่เขามีให้กับการสร้างผลงานสร้างสรรค์เชิงเทคนิคสวยๆ ที่มีคุณภาพสูง เขามักรู้สึกหลงใหลความงดงามทางภาพ ความซับซ้อนด้านเทคนิคและความท้าทายในการผสมผสานโลกทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน การใช้สิ่งของจำลองและภาพบลูสกรีนใต้น้ำอย่างน่าทึ่งของเขาในภาพยนตร์ปี 1989 เรื่อง “The Abyss” ทำให้ยีทแมนได้รับรางวัลออสการ์สาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม เขาเป็นผู้รับผิดชอบงานวิชวล เอฟเฟ็กต์และการสร้างอนิเมชันตัวละครสามมิติที่สมจริงเหมือนภาพถ่ายในภาพยนตร์งานสร้างของเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์เรื่อง “Kangaroo Jack” นอกจากนี้ เขายังได้เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 1998 เรื่อง “Mighty Joe Young” รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง “The Rock,” “Crimson Tide” และ “Armageddon” ซึ่งทุกเรื่องอำนวยการสร้างโดยเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์อีกด้วย ในเดือนมีนาคม ปี 2000 ยีทแมนและบริษัทอีสต์แมน โกดัก คัมปะนีได้รับประกาศนียบัตรความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคจากสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์จากการร่วมกันพัฒนา SFX 200T ฟิล์มวิชวล เอฟเฟ็กต์แบบใหม่ข้นมา นอกเหนือจากนั้น เขายังได้กำกับภาพยนตร์โฆษณาพิเศษให้กับวอร์เนอร์ บรอส. รีครีเอชัน, โซนี วันเดอร์, อิแม็กซ์และซัมซุงอีกด้วย ยีทแมนเข้าศึกษาที่ยูซีแอลเอในสาขาอนิเมชันและภาพยนตร์ หลังจากที่สำเร็จการศึกษาในปี 1977 เขาก็ได้ร่วมงานกับทีมงานเอฟเฟ็กต์ภาพยนตร์เรื่อง “Close Encounters of the Third Kind” ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขามีโอกาสได้เข้าทำงานด้านอนิเมชันและสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในรายการพิเศษของเอ็นบีซี “Laugh-In,” “Buck Rogers” และ “Battlestar Galactica” หลังจากนั้น ยีทแมนก็ได้รับเลือกให้เข้าร่วมงานกับทีมงานสร้างภาพยนตร์โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง “Star Trek: The Motion Picture” ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่องนี้ ซึ่งสร้างขึ้นจากซีรีส์โทรทัศน์ชื่อดังโดยจีน ร็อดเดนเบอร์รี ภาพยนตร์เรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เขากับผู้ร่วมก่อตั้งดรีม เควสท์ได้พบกันเป็นครั้งแรกและได้วางแผนที่จะสร้างบริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์ของพวกเขาเองขึ้นมาในปี 1979 ดรีม เควสท์ อิเมจิสถูกซื้อไปโดยวอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนีในปี 1996 และในปี 1999 บริษัทแห่งนี้ก็กลายเป็นเดอะ ซีเคร็ท แล็บ สตูดิโอดิจิตอล โปรดักชันสำหรับวอลท์ ดิสนีย์ ฟีเจอร์ อนิเมชัน มารีแอนน์และคอร์มัค วิบเบอร์ลีย์ (เรื่องราวโดย) เป็นคู่สามีภรรยานักเขียนบทที่เติบโตขึ้นมาในเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนียและเข้าศึกษาในไฮสคูลเดียวกัน ทั้งคู่ยังได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ยูซีแอลเอ โดยมารีแอนน์สำเร็จการศึกษาในสาขาคณิตศาสตร์และคอร์มัคในสาขาเศรษฐศาสตร์ จากนั้น มารีแอนน์ก็ไปศึกษาต่อในโรงเรียนภาพยนตร์ของยูซีแอลเอ ในปี 1993 พวกเขาได้ขายสคริปต์ชิ้นแรกให้กับดิสนีย์และเขียนงานร่วมกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “The 6th Day” ที่นำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ เป็นผลงานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของพวกเขา หลังจากนั้น คู่สามีภรรยาวิบเบอร์ลีย์ก็ได้เขียนบทภาพยนตร์ให้กับเรื่อง “I Spy,” “Bad Boys II,” “Charlie’s Angels: Full Throttle,” “The Shaggy Dog” และ “National Treasure” นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับเครดิต “เรื่องราวโดย” ในภาพยนตร์เรื่อง “National Treasure: Book of Secrets” อีกด้วย เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เรื่องราวยอดเยี่ยม ที่ได้รับการบอกเล่าอย่างเยี่ยมยอด ทั้งสำหรับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ที่มืดมิดหรือในห้องนั่งเล่นที่บ้าน มันอาจจะนำแสดงโดยดาราหนังชั้นยอดหรือดาราพรสวรรค์หน้าใหม่ มันอาจเป็นการผจญภัยสุดระทึก คอเมดีตลกโปกฮา โศกนาฏกรรมสะเทือนใจ ประวัติศาสตร์อีพิค ความรักหวานชื่นหรือดรามาสะเทือนอารมณ์ มันอาจเกิดขึ้นในอดีตอันไกลโพ้นหรือที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ อาจเป็นอนาคตที่อยู่ในจินตนาการหรือปัจจุบันที่คุ้นเคย ไม่ว่าองค์ประกอบของเรื่องจะเป็นยังไง แต่ถ้ามันเริ่มต้นด้วยสายฟ้าฟาด มันก็คือเรื่องราวที่บอกเล่าโดยเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ และพวกมันก็จะเป็นเรื่องราวยอดเยี่ยม ที่ได้รับการบอกเล่าอย่างเยี่ยมยอด เรื่องของตัวเลข ทั้งรายได้และรางวัลที่ได้รับ ล้วนแล้วแต่เป็นสถิติที่มักจะได้รับการบันทึกไว้เสมอ ภาพยนตร์ของบรั๊คไฮเมอร์ทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 15 พันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศและยอดขายวิดีโอและแผ่นเสียง ในปี 2005-6 เขาสร้างสถิติด้วยการส่งซีรีส์แพร่ภาพตามสถานีโทรทัศน์ถึงสิบเรื่อง ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์จอแก้วเกือบ 60 ปี หากแต่ตัวเลขเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะความสามารถอันยอดเยี่ยมของบรั๊คไฮเมอร์ในการค้นพบเรื่องราวเหล่านี้และถ่ายทอดมันลงบนแผ่นฟิล์มได้ วอชิงตัน โพสต์ พูดถึงเขาว่าเป็น “ชายผู้บ้าบิ่น” เขาอาจจะเกิดมาแบบนั้นก็จริงแต่จริงๆ แล้ว พรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาน่าจะได้รับการขัดเกลาจนคมกริบในช่วงเริ่มแรกของการทำงานของเขา ภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขาคือเรื่องราว 60 วินาทีที่เขาบอกเล่าในฐานะผู้อำนวยการสร้างโฆษณาเจ้าของรางวัลในดีทรอยต์บ้านเกิด หนึ่งในภาพยนตร์ขนาดสั้นเหล่านั้น ซึ่งเป็นการล้อเลียนภาพยนตร์เรื่อง “Bonnie and Clyde” ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับพอนทิแอค ได้รับการยกย่องใน ไทม์ แม็กกาซีน และทำให้ผู้อำนวยการสร้างวัย 23 ปีคนนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทโฆษณา บีบีดี แอนด์ โอ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งนำเขาไปสู่นิวยอร์ก ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2009 เขาได้ส่ง “Confessions of a Shopaholic” ซึ่งสร้างขึ้นจากนิยายขายดีโดยโซฟี คินเซลลา ลงโรง อิสลา ฟิชเชอร์ ดารานำของเรื่องนี้ในบทรีเบ็กก้า บลูมวู้ด ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม โรแมนติกคอเมดีที่กำกับโดยพี.เจ. โฮแกน (“My Best Friend’s Wedding”) เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดยฮิวจ์ แดนซี, โจน คูแซ็ค, จอห์น กู๊ดแมน, จอห์น ลิธโกว์, คริสติน สก็อตต์ โธมัส, เลสลี บิบบ์และทีมนักแสดงสมทบอีกมากมาย ผลงานหลังจากนี้ของเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ได้แก่ “Prince of Persia: The Sands of Time” ภาพยนตร์อีพิคแฟนตาซีผจญภัยที่กำกับโดยไมค์ นีเวลล์ (“Harry Potter and the Goblet of Fire”) และนำแสดงโดยเจค จิลเลจฮัล, นักแสดงหน้าใหม่ เจ็มมา อาร์เตอร์ตัน, เซอร์เบน คิงส์ลีย์และอัลเฟรด โมลินาและ “The Sorcerer’s Apprentice” โรแมนติกคอเมดีผจญภัยที่กำกับโดยจอน เทอร์เทิลท็อบ (“National Treasure” ทั้งสองภาค) และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ, เจย์ บารูเชล, อัลเฟรด โมลินา, เทเรซา ปาล์มเมอร์, โมนิกา เบลลุชชีและโทบี้ เค็บเบล บรั๊คไฮเมอร์ประสบความสำเร็จในสื่อหลากหลายแบบและงานหลากหลายแนวเพราะเขาเป็นนักเล่าเรื่องชั้นเยี่ยม คอยมองหาสัญลักษณ์สายฟ้าฟาดไว้ให้ดี เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะตามมาในไม่ช้า ไมค์ สเตนสัน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ดำรงตำแหน่งประธานเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ ซึ่งเขาทำหน้าที่ควบคุมการพัฒนาและผลิตภาพยนตร์ทุกแง่มุม ก่อนหน้าที่จะทำงานในบริษัทแห่งนี้ เขาเป็นผู้บริหารที่ดูแลการผลิตที่ดิสนีย์ และเป็นผู้รับผิดชอบดูแลภาพยนตร์หลายเรื่องของบรั๊คไฮเมอร์ได้แก่ “Armageddon,” “The Rock,” “Crimson Tide” และ “Dangerous Minds” สเตนสันเกิดและเติบโตในบอสตัน เขาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในการฝึกงานเพื่อสำเร็จการศึกษา เขาได้เริ่มต้นทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายงานสร้างในนิวยอร์ก และทำงานเกี่ยวกับภาพยนตร์อินดีและรายการโทรทัศน์สองปีในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับและผู้จัดการฝ่ายงานสร้างก่อนที่จะกลับบอสตันเพื่อศึกษาต่อจนจบ หลังจากเรียนจบบริหารธุรกิจแล้ว สเตนสันก็ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นการทำงานในวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ในโปรเจ็กต์พิเศษเป็นเวลาสองปีก่อนที่เขาจะก้าวไปเป็นผู้บริหารฝ่ายครีเอทีฟในแผนกงานสร้างที่ฮอลลีวูด พิคเจอร์ส เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองประธานและรองประธานบริหารในช่วงเวลาการทำงานแปดปี โดยเขาได้ทำการดูแลขั้นตอนพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์ของฮอลลีวูด พิคเจอร์สและทัชสโตน พิคเจอร์ส นอกเหนือจากภาพยนตร์หลายเรื่องของบรั๊คไฮเมอร์แล้ว สเตนสันยังได้พัฒนาและดูแลภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องเช่น “Rush Hour,” “Instinct,” “Six Days, Seven Nights” และ “Mr. Holland’s Opus” ระหว่างทำงานที่ดิสนีย์ ผู้สร้างมากมายพยายามจะชักชวนสเตนสันให้ไปทำงานกับตน แต่จนกระทั่งปี 1998 เขาจึงตัดสินใจออกจากบริษัท สเตนสันได้เป็นผู้ดูแลแผนการของบรั๊คไฮเมอร์ในการขยายตารางการถ่ายทำภาพยนตร์ของบริษัทออกไป ในตำแหน่งประธานบริษัทเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ แชด โอมาน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายงานสร้างของบริษัทเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ ที่ซึ่งเขาทำหน้าที่ดูแลขั้นตอนการพัฒนาและงานสร้างทุกแง่มุมของภาพยนตร์ โอมานได้ร่วมกับบรั๊คไฮเมอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Remember the Titans” ซึ่งนำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตันให้กับวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์และ “Coyote Ugly” ที่นำแสดงโดยไปเปอร์ เพอราโบและจอห์น กู๊ดแมนให้กับทัชสโตน พิคเจอร์ส ผลงานการอำนวยการควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ของเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ของเขาเรื่องล่าสุดได้แก่ “Confessions of a Shopaholic” และภาพยนตร์ที่ยังไม่ลงโรงเรื่อง “Prince of Persia: The Sands of Time” และ “The Sorcerer’s Apprentice” นอกจากนี้ เขายังได้ควบคุมงานสร้างบริหารภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Veronica Guerin” และบล็อกบัสเตอร์สุดฮิตเรื่อง “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl,” “Bad Boys II,” “Black Hawk Down,” “Pearl Harbor,” “Gone in 60 Seconds,” “Enemy of the State,” “Armageddon,” “Con Air,” “Glory Road,” “D?j? Vu,” “National Treasure: Book of Secrets,” “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” และ “Pirates of the Caribbean: At World’s End” อีกด้วย โอมานสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น เมธอดดิสท์ในสาขาการเงิน เขายังเข้าศึกษาเกี่ยวกับการเขียนบทที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจลิสและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาได้เข้าร่วมหลักสูตรการสร้างภาพยนตร์ ดันแคน เฮนเดอร์สัน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เริ่มต้นการทำงานในแวดวงภาพยนตร์ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับฝึกหัดในภาพยนตร์เรื่อง “American Gigolo” หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับในภาพยนตร์อีกหลายเรื่องเช่น “My Favorite Year,” “Staying Alive,” “The Star Chamber,” “Racing with the Moon,” “Rhinestone,” “Rocky IV” และ “Cobra” ก่อนที่เขาจะขยับขึ้นไปเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างและผู้จัดการกองถ่ายในภาพยนตร์เรื่อง “Three Fugitives” และภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เวียร์เรื่อง “Dead Poets Society” ก่อนที่จะทำหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Taking Care of Business,” ภาพยนตร์โดยเวียร์เรื่อง “Green Card” และ “Dying Young” เดวิด พี.ไอ. เจมส์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง/เรื่องราวโดย) เป็นลูกคนที่เก้าในบรรดาพี่น้องสิบคน และเขาก็กล่าวถึงการถูกเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนใครของเขาว่าช่วยเตรียมให้เขาพร้อมสำหรับชีวิตในแวดวงงานสร้างอนิเมชัน เจมส์เคยทำงานให้กับบริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์/อนิเมชันระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดหลายแห่งรวมถึงอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค (ไอแอลเอ็ม), ดรีม เควสท์/ซีเคร็ท แล็บ (ดิสนีย์) และดิจิตอล โดเมน ผลงานภาพยนตร์แนวครอบครัวของเขาได้แก่ “102 Dalmatians,” “Inspector Gadget,” “The Princess Diaries” และ “The Chronicles of Narnia” เท็ด เอลเลียต และเทอร์รี่ รอสซิโอ (ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง) มือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ล่าสุด กลับคืนสู่ไตรภาคบล็อกบัสเตอร์ที่อำนวยการสร้างโดยเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์อีกครั้งด้วย “Pirates of the Caribbean: At World’s End” หลังจากผลงานยอดเยี่ยมของพวกเขาใน “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” และ “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” นอกจากนี้ เอลเลียตและรอสซิโอยังได้เขียนบทให้กับภาพยนตร์อนิเมชันโดยดรีมเวิร์คส์เรื่อง “Shrek” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมในปี 2002 เรียวตะ คาชิบะ (ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง) เริ่มต้นการทำงานในแวดวงภาพยนตร์ด้วยการลำดับเรื่องราวให้กับผู้กำกับริดลีย์และโทนี สก็อตต์ หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานให้กับเว็บ IFILM และดูแลแผนก ScriptShark ซึ่งแนะนำนักเขียนบทหน้าใหม่เข้าสู่ระบบของฮอลลีวูด หลังจากที่ออกจาก IFILM คาชิบะก็ทำงานในฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของโซนี พิคเจอร์ส อิเมจเวิร์คส์ ที่ซึ่งเขาได้พบกับผู้ควบคุมงานสร้างเดวิด เจมส์และผู้กำกับฮอยท์ ยีทแมน เขาได้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านครีเอทีฟและช่วยสร้างเรื่องราวและตัวละครที่ในที่สุดก็นำมาสู่งานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “G-Force” คาชิบะเกิดที่ซีแอตเติล, วอชิงตัน และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิทยุ-โทรทัศน์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ACADEMY AWARD(R) และ OSCAR(R) เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ SCREEN ACTORS GUILD AWARD(R) และ SAG AWARD(R) เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของสมาพันธ์นักแสดง

แท็ก ภาพยนตร์   g-force   g force  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ