กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ยกทีมงานและนักแสดงไปขึ้นเครื่องบินต่อเฮลิคอปเตอร์กันสมบุกสมบันถ่ายทำเรื่อง “มนุษย์เหล็กไหล” กันไกลถึงประเทศเนปาลดินแดนแห่งพุทธศาสนา โดยฉากที่ไปถ่ายทำกันที่นี่เป็นฉากเปิดของเรื่องเล่าถึง อารีน่า รับบทโดย ลูกเกด เมทินี กิ่งพโยม มือขวาของ อุสมาห์ (ปู แบล็คเฮด) ผู้ก่อการร้าย แฝงตัวมากับพวกพ่อค้าและเข้าไปชิงเหล็กไหลจันทราจากพูนิมา (หนูจ๋า จิณวิภา แก้วกัญญา) กุมารีผู้ปกป้องภายในวัดที่ธิเบต เพื่อเอาเหล็กไหลไปทำเป็นอาวุธตามความเชื่อของพวกผู้ก่อการร้ายว่าเมื่อเอาเหล็กไหลจันทราและเหล็กไหลสุริยันมารวมกันจะสามารถสร้างเป็นอาวุธที่มีอนุภาพในการทำลายร้างแบบไม่มีขีดจำกัดขึ้นได้ อารีน่าจึงเดินทางมาพร้อมพรรคพวกหลายคนแฝงตัวมากับพวกพ่อค้า หาทางเดินทางเข้าวัดที่มีเหล็กไหลจันทราซ่อนอยู่ แต่ระหว่างทางที่ไปชาวบ้านพยายามกีดกันไม่ให้เข้าไปที่วัดจึงเกิดการต่อสู้กับชาวบ้านที่นั่น
ผู้กำกับ อ๊อด บัณฑิต ทองดี เล่าว่าที่เลือกไปถ่ายที่เนปาลแทนประเทศธิเบตตามอย่างในเรื่อง เป็นเพราะการทำงานในธิเบตยากกว่าในหลายๆ ขั้นตอน และเห็นว่าประเทศเนปาลก็เป็นประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศที่คล้ายและสวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งในการถ่ายทำในวันนั้นมีชาวพื้นบ้านมาร่วมเข้าฉากร้องเพลงเต้นรำกันกลางลานกว้างกันอย่างครึกครื้น แถมมีจามรีสัตว์พื้นเมืองของที่นั่นที่ทางทีมงานต้องไปไล่ต้อนลงมาจากบนภูเขามาร่วมเข้าฉากด้วย ก่อนการถ่ายทำลูกเกดต้องแต่งตัวเป็นชาวพื้นเมืองโผกผ้าปิดหน้าปิดตา และทางผู้กำกับก็ทำความเข้าใจในแต่ละฉากกับทางทีมงานต่างประเทศ แต่ระหว่างการถ่ายทำมีชาวบ้านบริเวณนั้นให้ความสนใจกับทีมงานเป็นพิเศษถึงขนาดปีนหลังคาและยืนดูรอบๆ กองถ่ายทำให้ทางทีมงานต้องหาทางหลบมุมกล้องเอา ซึ่งผู้กำกับเล่าถึงความยากลำบากในการไปถ่ายทำฉากนี้ให้ฟังว่า
“ที่ถ่ายที่นั่นเป็นฉากที่อารีน่าต้องแย่งชิงพระธาตุไปจากพูนิมา ด้วยเนื้อหาเราพูดถึงเหล็กไหลอยู่สองชนิด คนทั่วโลกรู้จักเหล็กไหลกันหมดเพียงแต่ว่าเรียกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง เราอิงถึงเหล็กไหลในต่างประเทศเพื่อให้มันดูมีความเป็นสากลมากขึ้น เราจึงเลือกเจาะจงที่จะถ่ายที่ประเทศเนปาล ตอนแรกตั้งใจจะไปที่ธิเบตแต่มีปัญหาเรื่องโปรดักชั่น เรื่องทีมงาน เรื่องขออนุญาติ อุปสรรคเยอะกว่าก็เลยเลือกที่เนปาลแทนเพราะว่าเรามีโปดิวเซอร์ท้องถิ่นมาช่วยดูงานในส่วนนี้ด้วย ที่มีความเชี่ยวชาญในการถ่ายทำภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่ที่เนปาลเราไม่ได้ถ่ายกันในเมืองเราเลือกถ่ายกันที่เมืองมะนังบริเวณพรมแดนประเทศที่ติดกับธิเบต เพื่อให้ได้ความรู้สึกเรื่องของภูมิประเทศ การแต่งตัว ให้ใกล้เคียงกับธิเบตที่สุด มีหิมะอยู่โดยรอบเสียดายวันที่ไปดูโลเคชั่นหิมะเต็มไปหมด แต่เวลาเราไปถ่าย
มัน 4 เดือนหลังจากนั้น เลยไม่มีหิมะแต่ก็ยังสวยงามอยู่ การไปถ่ายทำที่นั่นค่อนข้างลำบากเรื่องของการเดินทาง ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ไปใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งถึง 2 เที่ยวด้วยกัน เพราะถ้าเราไม่นั่งเฮลิคอปเตอร์ เห็นคนที่นั่นบอกว่าต้องใช้วิธีเดินเท้าไปที่เมืองนี้ประมาณ 15 วัน
ที่ยากอีกอย่างคือการที่จะให้พวกเค้าเข้าใจภาษาการแสดงมันยากและคนที่นั่นคือบริสุทธิ์มากไม่เคยแสดงหนังมาก่อน พอบอกว่าฉากนี้ต้องทำท่าตกใจนะก็กลายเป็นหัวเราะยิ้มกัน หรือบางฉากที่ต้องมีเรื่องของเอฟเฟคคนที่หมู่บ้านนี้ก็จะตกใจกลัวกัน เราก็เลยต้องทำให้เค้าดูก่อนหนึ่งครั้งทั้งที่เราเตรียมของสำหรับถ่ายทำไปไม่เยอะ และก็จามรีเป็นสัตว์ที่ควบคุมยาก จามรีเป็นสัตว์ภูเขามันค่อนข้างจะตื่นกับคนง่าย ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของอากาศ อากาศที่นั่นจะบางมาก คือเราอยู่สูงถึง 3500 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล คือแค่เดินก็เหนื่อยแล้ววิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วยิ่งต้องถ่ายหนังแอ๊คชั่นด้วยแต่ละซีนก็ยากเหลือเกิน แต่สิ่งที่เราได้รับกลับมาคุ้มมากครับ ทิวทัศน์ที่สวยงาม ชาวพื้นบ้านที่น่ารักต้อนรับเราเป็นอย่างดี ที่นั่นเหมือนเป็นเมืองที่บริสุทธิ์เมืองหนึ่งถึงแม้บางครั้งการทำงานลำบากบ้างก็เป็นเพราะความไม่เข้าใจและความสนใจของเค้าก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากจะกลับไปถ่ายทำที่นั่นอีก ประทับใจและสวยงามมากครับ”
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net