กรุงเทพฯ--28 ส.ค.--ศุภาลัย
ศุภาลัย เชื่อมั่นตัวเลขยอดขายเดือนสิงหาคมสูงที่สุดของปี 2552 พร้อมมั่นใจสามารถพิชิตยอดขายทั้งปี 10,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เร่งเดินหน้าซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นสำหรับปี 2553 จากเดิมที่มีอยู่แล้วกว่า 11 แปลงมูลค่าขายกว่า 11,000 ล้านบาท
นางอัจฉรา ตั้งมติธรรม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 20 วันแรกของเดือนสิงหาคมทำยอดขายได้แล้ว 1,100 ล้านบาท และเชื่อว่าจะเป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดของปี โดยบริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการในไตรมาส 3 นี้ ได้แก่ ศุภาลัย วิลล์ ราชพฤกษ์-เพชรเกษม 48 ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รามอินทรา 23 และศุภาลัย คาซา ริวา วิสต้า 2 ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ไตรมาส 4 ก็มีแผนที่จะเปิดโครงการทั้งแนวราบ และอาคารชุดอีก 6 โครงการ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขาย 10,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมียอดทำสัญญาที่รอโอนและรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม อยู่ที่ 13,047 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนและรับรู้รายได้ในปี 2552-2554 และเมื่อเปรียบเทียบยอดรายได้ครึ่งปีแรก และ Backlog ปี 2552 ที่รอโอนครึ่งปีหลัง โดยยังไม่รวมยอดขายใหม่ของ ก.ค.-ธ.ค. 2552 พบว่ามีตัวเลขสูงกว่ารายได้ปีนี้ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 8,000 ล้านบาทแล้ว ขณะเดียวกันการเจริญเติบโตทางรายได้ในปี 2553 บริษัทก็ได้ตุนไว้แล้วร่วม 5,500 ล้านบาท ซึ่งเป็น Backlog ที่จะส่งมอบและสามารถรับรู้รายได้ในปี 2553 โดยยังไม่นับรวมยอดขายปี 2553 ที่จะเกิดขึ้นและส่งมอบในปี 2553 นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่สำหรับปี 2553 อีก 11 แปลง มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างการเจรจาที่ดินอีกหลายแปลง
ทั้งนี้ จากการเดินทางไปเพื่อนำเสนอข้อมูลของบริษัท (โรดโชว์) ที่ประเทศสิงคโปร์ ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นในผลประกอบการที่สามารถทำกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกของปี 2552 สูงกว่าปี 2551 ทั้งปี ประมาณ 15% กล่าวคือในครึ่งปีแรกของปี 2552 ทำได้ 1,228 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบปี 2551 ทั้งปีที่ทำได้ 1,069 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 39% มีกำไรต่อหุ้น(EPS) 0.77 บาทต่อหุ้น สูงสุดในกลุ่ม ขณะที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงถึง 0.25 บาทต่อหุ้น สูงที่สุดในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งการเจริญเติบโตทางรายได้ที่จะเห็นได้อย่างต่อเนื่องจาก ยอดทำสัญญาที่รอโอน (Backlog) ที่มีตัวเลขสูงถึงกว่า 13,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็มีโครงการต่อเนื่องและที่ดินรองรับที่จะเปิดขายในอนาคต สามารถครอบคลุมการขายได้ถึงร่วม 4 ปี ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งของ Backlog ของครึ่งปีหลัง 2552 ทั้งปี 2553 2554 และ 2555 ขณะเดียวกันภาระหนี้สินก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ 30 มิถุนายน 2552 มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Gearing) ที่ร้อยละ 64 และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2552 นี้