PYLON มั่นใจทั้งปีโกยรายได้ 500-600 ลบ. เชื่อครึ่งปีหลังผลประกอบการกระเตื้องขึ้น

ข่าวทั่วไป Thursday August 17, 2006 10:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--ไพลอน
ผู้บริหาร บมจ.ไพลอน ยังมั่นใจครึ่งปีหลังกวาดรายได้ตามเป้าที่วางไว้ 500-600 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวในไตรมาส 3 และ 4 จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เริ่มคลี่คลายและมีความชัดเจนมากขึ้น จากปัจจัยการเมือง อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมัน เป็นต้น ล่าสุดได้รับงานใหม่เติมเพิ่มอีก 4 โครงการ ขณะเดียวกันยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญามูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท
นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ไพลอน จำกัด(มหาชน) (PYLON)เปิดเผยถึงผล ประกอบการไตรมาส 2/2549 ว่ามีรายได้รวม 166.8 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 3.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 7.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 53.3 ส่วนงวดหกเดือนมีรายได้รวม 337.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.8 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการของ PYLON ลดลงเนื่องจากปีก่อนบริษัทฯมีกำไรจากการขายเครื่องจักรที่ไม่ได้ใช้งานจำนวน 4.5 ล้านบาท อีกทั้งในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีจำนวนวันหยุดราชการเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน เช่นวันเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.และวันฉลองศิริราชสมบัติ แต่ค่าใช้จ่ายคงที่ของบริษัทฯยังคงมีอยู่
ขณะเดียวกัน PYLON ยังประสบปัญหาสภาพพื้นที่ทำงานใน 3 โครงการ ได้แก่ ปัญหาน้ำท่วม และ ปัญหาเส้นทางเข้าหน่วยงาน ทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่องและล่าช้า ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้แก้ไขเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 โดยไม่มีเบี้ยปรับจากผู้ว่าจ้าง
ส่วนเรื่องต้นทุนต่างๆของงานที่ต่อเนื่องมาจากปี 2548 ซึ่งเป็นราคาเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว เช่น น้ำมันวัสดุต่างๆ ค่าแรง มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะจบในกลางไตรมาสที่ 3 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง บริษัทฯคาดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ซึ่งไตรมาส 2 ที่ผ่านมาน่าจะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการต่ำที่สุดของปี และจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี เนื่องจากงานราคาเก่าที่ต่อเนื่องจากปีก่อนจะจบในไตรมาสที่ 3 นี้ นอกจากนี้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะทรงตัวและมีโอกาสจะลดลงจากสถานการณ์สงครามในเลบานอนที่คลี่คลายโดยอิสราเอลได้ถอนกำลังทหารออกจากเลบานอนแล้ว ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยคาดว่าน่าจะใกล้จุดสูงสุดแล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ มากนักเพราะมีหนี้น้อยและยังมีเงินสดเหลืออยู่
ในด้านของการเมืองคาดว่าสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้ง งานภาครัฐต่างๆคงเริ่มทยอยออกมาซึ่งสถานการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทมากนัก โดยบริษัทฯ ปรับกลยุทธ์หันไปรับงานจากเอกชนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯมีการรับงานวัสดุมากขึ้นโดยขณะนี้บริษัทฯได้รับงานใหม่เพิ่มเติม 4 โครงการมูลค่า 36.3 ล้าน
บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ได้แก่
1.โครงการลุมพินีวิลล์ รามคำแหง 44 เป็นงานเสาเข็มเจาะ ซึ่งบริษัทฯรับเฉพาะค่าแรง มูลค่างาน 12.4 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการประมาณ 2 เดือน เริ่มเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
2.โครงการเดอะเน็กซ์ คอนโดมิเนียม ซอยลาดพร้าว 44 มูลค่า 11.8 ล้านบาทเป็นงานค่าแรงรวมวัสดุ ระยะเวลาประมาณ 45 วันโดยได้เริ่มโครงการแล้วตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม
3.โครงการสถานีต้นทางชิดลม ของการไฟฟ้านครหลวง มูลค่าโครงการ 6.2 ล้านบาท (เฉพาะค่าแรง) ระยะเวลาโครงการประมาณ 60 วัน เริ่มกลางเดือนสิงหาคมนี้
4.งานรับเหมาก่อสร้างโรงอาหาร U-Center ซึ่งเป็ นส่วนเพิ่มเติมของโครงการตักสิลานคร มูลค่าประมาณ 6 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มงานตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน ระยะโครงการประมาณ 60 วัน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญามูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายร้อยล้านบาท ซึ่งบริษัทฯจะแจ้งให้ทราบเมื่อได้รับเอกสารยืนยันการว่าจ้างแล้ว ทั้งนี้งานใหม่ๆที่ได้เสนอราคาและได้รับมาใหม่นั้นได้มีการปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุนงานและภาวะการแข่งขันแล้ว
"เป้าหมายของเราในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนกำไรนั้นจะขึ้นอยู่กับภาวะต้นทุนแต่คาดว่าคงจะไม่ต่ำกว่ากำไรของปี 2548 โดยสถานการณ์ของธุรกิจน่าจะฟื้นตัวได้อย่างเด่นชัดในช่วงที่เหลือของปี จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นในไตรมาส 2 น่าจะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการต่ำที่สุดของปี"นายบดินทร์กล่าวในที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
คุณวลีรัตน์ เชาวนวิหานนท์
โทรศัพท์ 01-2777871

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ