กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--วีม คอมมูนิเคชั่น
ประเด็นสำคัญในการลงทุนทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านพื้นฐาน — วันนี้ราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนในคืนนี้ แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการ แต่ก็ขอให้นักลงทุนระมัดระวังแรงขายทำกำไรในทองคำแท่งออกมา หากราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านจิตวิทยาสำคัญที่ $1,000 ต่อออนซ์
กรอบการเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคราคาทองคำแท่ง (Gold SPOT)
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะสั้น — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, MACD 30 นาทีเคลื่อนตัวอยู่ในบวกทว่าได้ตัดเส้น Trigger จากด้านบนทำให้ดูราคาเป็นลบ, MACDF 30 เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวก ทำให้ดูตลาดเป็นบวก, Fast Stochastic เคลื่อนตัวลงทำให้ ราคามีโอกาสปรับตัวลง, RSI 30 นาทีอยู่ที่ระดับ 45.683 ถือเป็นระดับ Neutral และทำให้ดูว่าตลาดระยะสั้นยังขาดทิศทางที่ชัดเจน, ทิศทางตลาดระยะสั้นดูเป็น Sideways-up แนวรับแนวต้านของวันอยู่ที่ $987-$1,003 ค่าเงินบาทในวันนี้อยู่ที่ระดับ ฿34.00-฿34.11
ปัจจัยสำคัญด้านเทคนิคระยะกลาง — Directional Indices บ่งบอกว่าตลาดระยะกลางเป็นขาขึ้น, RSI อยู่ที่ระดับ 78.825 ถือเป็นระดับ overbought ทำให้ดูว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง, MACD เคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกและได้ตัดเส้น Trigger จากด้านล่างทำให้ดูราคาเป็นบวก, MACDFเคลื่อนตัวอยู่ในแดนบวกทำให้ดูตลาดเป็นบวก, Fast-Stochastic เคลื่อนตัวขึ้นทำให้ดูตลาดเป็นบวก, ทิศทางตลาดระยะกลางเป็นตลาด Sideways-up โดยจะใช้แนวต้านที่ $1,005 เป็นต้านระยะกลางที่สำคัญและแนวต้านต่อไปจะอยู่ที่ $1,030 ส่วนแนวรับระดับกลางอยู่ที่ $960 และ $940 ตามลำดับ
ราคาทองคำแท่งที่ร้านค้าปลีกปิดล่าสุด (เส้นสีแดง = 15,850 บาท) ซึ่งต่ำกว่าราคาทองคำแท่ง (SPOT) ในตลาดโลกเช้านี้ (เส้นสีน้ำเงิน = 16,080 หรือที่ $993.60) แสดงถึงราคาทองคำแท่ง ณ. หน้าร้านขายปลีก มีส่วนลดจากราคาในตลาดโลก อยู่ 230 บาท ขณะที่ราคาของ GFV09 เมื่อวานนี้ปิดตลาดอยู่ที่ 15,760 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาในตลาดโลกเท่ากับ 320 บาท ซึ่งเท่ากับว่า GFV09 มีส่วนลดมากกว่าที่ร้านค้าปลีก ดังนั้น การขาย (Short) ทองแท่งที่ร้านทองแล้วมาเปิดสถานะซื้อ (Long) GFV09 จะทำให้มีส่วนต่างของกำไรที่คาดหวัง อยู่ที่ 320-230 = 90 บาทต่อทองคำแท่ง 1 บาท ซึ่งยังคงไม่คุ้มค่ากับค่าคอมมิชชั่น (ประมาณ 120 บาทต่อ 1 บาททอง) และดอกเบี้ยในการหากำไรจากส่วนต่างราคาได้ในวันนี้
ข่าวสารสำคัญเพื่อประกอบการลงทุน
ปัจจัยบวก
ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ — คืนนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการปลดพนักงานในเดือนส.ค.อยู่ที่ -2.16 แสนราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบปีและน้อยกว่าที่ได้คาดกันไว้ก่อนหน้าด้วย แต่อัตราการว่างงานพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 9.7% นับแต่เดือนมิ.ย. 1983 ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐมองว่า การฟื้นตัวขึ้นในตลาดแรงงานเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ค่าเงินดอลลาร์ — ดอลลาร์ปิดอ่อนค่าลง +$0.0049 เมื่อเทียบเงินยูโร มาที่ $1.4301 จากที่ปิด $1.4252 เมื่อวันก่อนหน้า หลัง ตัวเลขการจ้างงานเดือนส.ค.ลดลงน้อยกว่าคาดและได้หนุนความเชื่อที่ว่าภาวะถดถอยกำลังจะสิ้นสุดลง แม้ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวจะยังคงไม่แน่นอน ส่วนเช้านี้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก +$0.0018 มาที่ $1.4319
ค่าเงินบาท — ค่าเงินบาททรงตัวที่ 34.04 บาท จากเมื่อวันก่อนหน้า โดยเงินบาทยังเคลื่อนไหวแคบๆ ไม่ไปไหน หลังแบงก์ชาติยังคงเข้าแทรกแซงอยู่ ขณะที่เช้านี้เงินบาทอ่อนค่าลงอีก +4 สต. มาที่ 34.08 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 33.99 บาทและ 33.95 บาทตามลำดับ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 34.10 บาทและ 34.17 บาท
ราคาน้ำมันดิบ — ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ต.ค. ขยับขึ้น +$0.06 มาปิดที่ $68.02 ต่อบาร์เรล ตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงานในครั้งนี้ ยังให้ข้อมูลที่ไร้ทิศทางและไม่สามารถบ่งชี้ถึงแนวโน้มของอุปสงค์น้ำมันหรือแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตได้มากนักขณะที่เช้านี้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ต.ค. ร่วงลง -$0.36 มาอยู่ที่ $67.66 ต่อบาร์เรล
ปัจจัยลบ
กระทรวงการคลังสหรัฐ - เสนอให้มีการใช้มาตรฐานระหว่างประเทศที่เข้มงวดกับเงินกองทุนและสภาพคล่องของภาคธนาคาร โดยระบุว่ากฎใหม่นี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการปรับลดความเสี่ยงในการเกิดวิกฤติการเงินโลกครั้งใหม่ โดยข้อเสนอนี้เป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงช่องโหว่ของกฎระเบียบในปัจจุบัน ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทการเงินขนาดใหญ่ทั่วโลกประกอบธุรกิจได้โดยมีเงินทุนกันชนในระดับต่ำ มีสัดส่วนการใช้เงินกู้สูงเกินไป และระดมทุนระยะสั้นจากแหล่งเงินทุนที่ไม่มีเสถียรภาพ
กองทุนทองคำ — SPDR กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก รายงานการเข้าถือทองคำถึง ณ. 2 ก.ย.52 ลดลง -0.38 ตันจากวันก่อนหน้า รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,077.63 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34.65 ล้านออนซ์
G-20 - ที่ประชุมรมว.คลังและนักการธนาคารกลางจากกลุ่ม G-20 ระบุว่าเงินเดือนของนักการธนาคารสูงเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในธนาคารที่ได้รับเงินช่วยเหลือของภาครัฐหลายพันล้านดอลลาร์และย้ำว่ามาตรการฉุกเฉินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์นั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อไป จนกว่าเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุถึงข้อตกลงที่ว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่ อาทิ อินเดียและจีนควรมีสิทธิมีเสียงมากขึ้นในการบริหาร IMF และธนาคารโลก
ภาวะเศรษฐกิจจีน - นายซู หนิง รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวในวันนี้ว่า จีนต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ และต้องผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆในด้านเครื่องมือทางการเงินในการพัฒนาช่วงต่อไป เพื่อปรับกิจกรรมด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคารต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์และการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย
ปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม
OPEC - กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) จะประชุมกันในวันที่ 9 ก.ย.ที่กรุงเวียนนา โดยปริมาณสำรองน้ำมันที่ระดับสูงและความเสี่ยงเรื่องการร่วงลงของราคาอาจสร้างความกังวลให้กับรัฐมนตรีกลุ่มโอเปก แต่เป็นที่คาดกันว่าราคาน้ำมันที่ระดับใกล้ 70 ดอลลาร์/บาร์เรลจะทำให้กลุ่มโอเปกตรึงปริมาณการผลิตไว้ที่ระดับเดิม