กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--มส.ผส.
ผู้สูงอายุจี้ กระทรวงการคลัง ปรับแก้กองทุนออมแห่งชาติ 5 ประเด็น รวมเบี้ยยังชีพ 500 บาทในระบบกองทุนออม ปรับระบบเปิดสมัครใจ ปรับรวมกองทุนประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ สวัสดิการผู้สูงวัย พร้อมเชื่อมโยงกองทุนระดับชาติกับกองทุนออมในชุมชน
จากเวที นโยบายสาธารณะ "ระบบบำนาญแห่งชาติ ถ้วนหน้า เพื่อประชาชนอย่างยั่งยืน" ซึ่งมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ กว่า 200 คน โดยจัดระดมความคิดเห็น เพื่อนำข้อเสนอดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ และเสนอต่อกระทรวงการคลัง
พญ. ลัดดา ดำริห์การเลิศ ผู้จัดการแผนงานวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอันเนื่องมาจากการลดลงของอัตราตายและอัตราเกิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนประชากรสูงอายุไทยเพิ่มจากร้อยละ 7.4 ในปี 2533 เป็นร้อยละ 11.1 ในปี 2551 และจะเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2566 จะมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้สังคมไทยมีเวลาน้อยที่จะเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้น “ผู้สูงอายุต้องการหลักประกันที่สำคัญ 2 ด้านคือหลักประกันด้านสุขภาพ และหลักประกันด้านรายได้ ซึ่งหลักประกันด้านรายได้ต้องสร้างขึ้นตั้งแต่วัยแรงงานผ่านการออมในระหว่างการทำงานที่มีรายได้ แต่ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่เสนอ กลไกดังกล่าว อาทิหน่วยงานสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังมีผลงานที่รุดหน้าในการนำเสนอระบบบำนาญจากการออมอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นเพื่อให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อน ผลักดันให้เกิดการสร้างระบบหลักประกันรายได้ตามองค์ความรู้ที่มีอย่างมีประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอ จากเวลทีความคิดเห็น ทั้งหมดจะสรุปเสนอต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อปรับระบบให้มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์มากที่สุด ”
ขณะที่นายสาธิต รังคสิริ รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงข้อเสนอการตั้งกองทุนออมแห่งชาติ (กอช.) ว่า ที่ผ่านมารัฐบาล ได้มีการส่งเสริมเรื่องเบี้ยยังชีพ เดิมได้เฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย ครอบคลุมผู้สูงอายุวัย 60 ปีทุกคน 500 บาท/เดือน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สามารถขยายไปได้ในอนาคตตามภาวะเงินเฟ้อ มีผู้ได้รับเบี้ยยังชีพ 5.9 ล้านคน ปี2553 เพิ่มเป็น 6.8 ล้านคน ส่วนอีกมาตรการหนึ่ง คือ กองทุนการออมแห่งชาติ จะครอบคลุมแรงงานนอกระบบทั้งหมดด้วย โดยกำหนดการออมเป็นบัญชีส่วนบุคคลนับแต่วัยแรงงานจนถึงอายุ 60 ปี ขั้นต่ำ 100 บาทต่อเดือน รัฐสมทบเป็นขั้นบันไดคือ กลุ่มอายุ 20-30 สมทบ 50 บาทต่อเดือน กลุ่มอายุ 31-50 สบทบ 80 บาทต่อเดือน กลุ่มอายุ 51-60 สบทบ 100 บาทต่อเดือน การออมจะไม่บังคับแต่เน้นในเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับจากรัฐหากเข้ามาอยู่ในระบบ ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และคาดว่าจะสามารถออกเป็น พรบ. ให้แล้วเสร็จเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับคนไทยทุกคน
"กองทุนกอช. นี้ จะทำให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันรายได้เงินบำนาญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผู้ที่ออมในระดับพื้นฐาน 100 บาทต่อเดือน ตั้งแต่อายุ 20 ปี และออมจนครบอายุ 60 ปี จะได้รับบำนาญตลอดชีพเดือนละ 1,710 บาท รวมเบี้ยยังชีพ เป็นเงินทั้งสิ้น 2,210 บาทต่อเดือน ซึ่งจะสามารถบังคับใช้ได้ในอีกไม่นานนี้" นายสาธิต กล่าว
ด้านนางสุจิน รุ่งสว่าง ตัวแทนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ กล่าวว่า คิดว่าการตั้งกองทุนออมแห่งชาติ จะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 60 ปีแล้วไม่มีบำนาญอาจจะลำบาก ส่วนนโยบายรัฐที่มอบเบี้ยให้ผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาท คิดว่าไม่เพียงพอถ้าไม่มีลูกหลานดูแล เพราะเส้นความยากจนที่แท้จริงมันสูงกว่าที่รัฐประมาณการมาก
"เห็นด้วยกับระบบของกระทรวงการคลังในเบื้องต้น แม้จะมีกองทุนประกันสังคมเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขอยู่ แต่สำหรับกองทุนเพื่อแรงงานนอกระบบของกระทรวงการคลังนั้นจะมีสิทธิประโยชน์อื่นๆนอกจากบำนาญหรือไม่ เช่น เพื่อการรักษาพยาบาล พิการ ดังนั้นจึงมีข้อเสนอว่ารัฐจะสามารถนำเอากองทุนสองกองมาบูรณาการรวมกันได้หรือไม่ ระหว่างกองทุนประกันสังคมกับกองทุนส่งเสริมการออม ซึ่งจะทำให้สะดวกกับประชาชนไม่สร้างความสับสนให้กับประชาชนด้วย" นางสุจิน กล่าว
นอกจากนนี้นางสุจิน เห็นว่า กระทรวงการคลังและกองทุนประกันสังคมควรจะนำเอากองทุนมาสร้างระบบบำนาญแห่งชาติ เห็นด้วยกับระบบบำนาญที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการออม ประชาชนจะได้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความสามารถที่จะอยู่ได้เมื่อยามแก่ชรา และการดำเนินการต่างๆของภาครัฐก็ควรเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ทั่วกัน
อย่างไรก็ตาม ผลจากการจัดระดมความคิดเห็นภาคประชาชน ผู้สูงอายุ และนักวิชการได้สรุปข้อเสนอ ต่อ รัฐบาลและคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ในการสร้างระบบบำนาญแห่งชาติที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุไทย 5 ประเด็นหลักคือ 1. นโยบายการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุอย่างถ้วนหน้า ถือได้ว่าเป็นสิทธิบำนาญขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่ ควรมีการกำหนดให้ชัดเจนอยู่ในพระราชบัญญัติกองทุนบำนาญแห่งชาติที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นใหม่ด้วย โดยมีระบบการกำกับดูแลและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ผลประโยชน์ควรอยู่ที่ระดับเส้นความยากจนและมีการปรับตามระดับอัตราเงินเฟ้อ
ส่วนประเด็นที่2. พระราชบัญญัติการออมแห่งชาติที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง มีขึ้นเพื่อหลักประกันในเรื่องของบำนาญตลอดชีพ ไม่ใช่กองทุนเพื่อการออมทั่วไป จึงควรระบุชื่อตามวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าเป็น พระราชบัญญัติบำนาญแห่งชาติ เพื่อความชัดเจน ไม่สับสน และควรพิจารณาเพิ่มเติมสวัสดิการอื่นๆให้กับผู้สูงอายุด้วย นอกจากนี้ การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ โดยกระทรวงการคลัง และการแก้ไข พรบ.ประกันสังคม มาตรา 40 เพื่อขยายสิทธิประโยชน์สำหรับแรงงานนอกระบบ โดยกระทรวงแรงงาน นั้น ต่างก็มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างหลักประกันด้านรายได้ยามชราภาพให้กับแรงงานนอกระบบ กองทุนประกันสังคมนั้นเป็นกองทุนภาคบังคับในขณะที่กองทุนของกระทรวงการคลังจะเป็นภาคสมัครใจ ทำให้กติกาหลักไม่เหมือนกันโดยพื้นฐาน แต่ก็จำเป็นที่รัฐต้องคิดทบทวนให้ดีว่าจะทำอย่างไรให้กองทุนเชื่อมโยงกัน ทำงานไปด้วยกันได้ ดังนั้น กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรที่จะได้นำเรื่องนี้มาพิจารณาหาคำตอบร่วมกันอย่างจริงจัง
ส่วนการเชื่อมโยงกองทุนระดับชาติกับระดับชุมชน เป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยลดความเสี่ยงของกองทุนระดับชุมชนเฉพาะในเรื่องของการจัดสวัสดิการบำนาญชราภาพ จึงควรพิจารณาถึงความเชื่อมโยงระหว่างกองทุนระดับชาติกับกองทุนระดับชุมชนเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรออกจากชุมชน ควรเปิดโอกาสให้กองทุนชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกลไกหนึ่งในการบริหารจัดการด้วย
ประเด็นสุดท้าย การบริหารจัดการกองทุนที่ดี ระบบบำนาญแห่งชาติ ซึ่งเป็นระบบใหม่ จึงจำเป็นต้องมีการออกแบบที่ดีทั้งในระดับประเทศ และระดับล่างลงไป (ระดับพื้นที่) ควรมีการชี้แจงและเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรู้ถึงการบริหารจัดการอย่างชัดเจน.-
เนาวรัตน์(เล็ก) ชุมยวง
www.thainhf.org
02 511-4963 ต่อ 22