สตาร์ส ไมโครฯ ขาย IPO เร้าใจกรอบราคา 4.75-4.95 บาท หลังกำไรครึ่งปีแรกสูงสุด

ข่าวเทคโนโลยี Tuesday September 8, 2009 07:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 ก.ย.--เพนเน็ตเทรท - กองทุนฯปลื้ม พื้นฐานแกร่ง กำไรดี อนาคตเด่น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์รุ่ง มีอัพไซด์ 35-40% สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ดาวดวงใหม่วงการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ประกาศกรอบราคาหุ้นไอพีโอที่ 4.75 บาท - 4.95 บาท ที่ปรึกษามั่นใจ กระแสตอบรับดีหลัง นักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจล้นหลาม เหตุพื้นฐานแข็งแกร่ง กำไรสุทธิและรายได้โตแรงต่อเนื่องนำอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว แถมขายไอพีโอในราคาไม่แพง นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกของคนไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจอย่างสูงในการจะเข้าจดทะเบียนในเดือนกันยายนนี้ เนื่องจากบริษัทฯมีผลประกอบการที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง คือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 65% ติดต่อกัน 4 ปี (แม้ในช่วงที่บริษัทฯได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำ) นอกจากนี้รายได้รวมยังขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน โดยครึ่งปีแรก 2552 นี้ บริษัทสร้างกำไรสุทธิ 115 ล้านบาทจากรายได้รวม 4,589 ล้านบาทซึ่งแสดงถึงความสามารถของบริษัทในการเพิ่มการเติบโตของกำไรสุทธิประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 โดยปัจจัยหลักในการเติบโตของบริษัทฯ มาจากกลยุทธ์ 3 High ของบริษัทคือ 1. High-Tech มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงสุด 2. High-Growth จับตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรุนแรงทั่วโลก อาทิ สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ 3. High Margin มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ High-end ที่มีผลกำไรต่อหน่วยสูงทำให้บริษัทฯมีแนวโน้มที่จะสร้างผลกำไรที่ก้าวกระโดดเมื่อสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนมากเริ่มจากครึ่งหลังของปี 2552 นี้ “บริษัทฯและที่ปรึกษาทางการเงินได้ตัดสินใจกำหนดกรอบราคาหุ้น IPO ของบริษัทฯ จำนวน 92 ล้านหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบันไว้ที่ 4.75-4.95 บาทต่อหุ้น โดยเป็นช่วงราคาที่มีส่วนลดให้กับนักลงทุนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคาที่นักวิเคราะห์จากหลาย ๆ บริษัทได้ประเมินเอาไว้ ทั้งนี้ ที่ช่วงราคาดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วน PE Ratio ต่ำกว่า 7 เท่าในขณะที่หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดเทรดกันอยู่ระหว่าง 8-12 เท่า ปัจุบัน บริษัทฯมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 736 ล้านบาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว 552 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 276 ล้านหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 2 บาท และมีแผนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญ (IPO) จำนวน 92 ล้านหุ้น โดยจะนำเงินทั้งหมดที่ได้จากการเสนอขายหุ้นไปปรับโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจะทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net Interest Bearing Debt/Equity) ลดลงจากปัจจุบัน 1.1 เท่า ส่วนอัตรากำไรต่อหุ้นสำหรับงวดครึ่งปีแรก (EPS) อยู่ที่ 0.42 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 23.1% นอกจากนี้ บริษัทมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้ใช้อีกประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทมีความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้นอีกขั้น และสามารถรองรับการขยายงานของลูกค้าได้เป็นอย่างดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ หัวหน้าธุรกิจวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า “บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทที่มีรูปแบบและโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง และคาดว่าจะเติบโตยิ่งขึ้นไปอีกนับจากครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากบริษัทได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้ารายใหม่ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงในปริมาณที่ค่อนข้างมาก โดยจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ในขณะที่สินค้าปัจจุบันก็มีปริมาณที่เติบโตตามภาวะอุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว กรอบราคา IPO ที่กำหนด คิดเป็นส่วนลดจากราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ถึง 25-30% ทั้งนี้ ภายหลังจากที่บริษัทและที่ปรึกษาทางการเงินได้โรดโชว์เพื่อนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันเสร็จสิ้นไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทได้รับการตอบรับและความสนใจที่ดีมาก ในการกำหนดราคาจองซื้อจะใช้กระบวนการ Book Build ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าราคาจองซื้อเป็นราคาที่เหมาะสมอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในเบื้องต้นได้กำหนดวันจองซื้อหุ้นไว้ระหว่างวันที่ 16-18 กันยายนนี้ โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดเป็นแกนนำในการจัดจำหน่าย” บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทผู้ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกของคนไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2538 ได้เติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและต่อเนื่องมาตลอด 12 ปี โดยสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน จาก 4,462 ล้านบาทในปี 2548 เป็นรายได้รวม12,127 ล้านบาทในปี 2551 ขณะเดียวกันได้เพิ่มผลกำไรสุทธิอย่างมีประสิทธิภาพจากกำไรสุทธิ 45 ล้านบาทในปี 2548 เป็นกำไรสุทธิ 201 ล้านบาทในปี 2551 (คิดเป็นการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 65% และรายได้รวมเติบโตเฉลี่ยปีละ 40% ติดต่อกัน 4 ปีซ้อน) บริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อผลิตชิ้นส่วนต่างๆให้กับผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก โดยมีธุรกิจหลัก 2 ส่วนคือ 1. การผลิตและประกอบชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Microelectronic Module Assembly, MMA) บริษัทผลิตระบบจอสัมผัส Touch Screen ในโทรศัพท์มือถือ Smart Phone รุ่นใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดโลกเกือบทุกรุ่น และ ระบบ Touch Pad และแผงวงจรควบคุมสำหรับฮารด์ดิสก์ ซึ่งใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คยี่ห้อชั้นนำของโลก ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกทางด้านนี้ 2. ธุรกิจผลิตไอซีชิพหรือแผงวงจรไฟฟ้ารวม (Integrated Circuit) นอกเหนือจากการผลิตไอซีชิพหรือแผงวงจรไฟฟ้ารวมทั่วไป บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของโลกในการผลิตชิพ MEMS (Micro-Electro-Mechanical Systems) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการนำเอาชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ไปใช้ทดแทนระบบกลไก โดยมีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์การแพทย์ อย่างกว้างขวาง ทำให้บริษัทมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด และมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างสูงในตลาดโลก อนึ่งบมจ. สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ปัจจุบันถือหุ้นโดยผู้บริหาร กรรมการและกลุ่มครอบครัวไชยกุลรวมกันกว่า 76% โดยมีทุนจดทะเบียน 736 ล้านบาท เป็นทุนที่ชำระแล้วจำนวน 552 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 276 ล้านหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 2 บาท บริษัทมีการลงทุนในโรงงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีระดับโลกกว่า 2,700 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนการลงทุนจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ทั้งในธุรกิจผลิตและประกอบชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจผลิตไอซีชิพหรือแผงวงจรไฟฟ้ารวม โดยมีกำลังการผลิตชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 80 ล้านชิ้นต่อปี และไอซีชิพ 700 ล้านชิ้นต่อปี และมีบริษัทย่อย คือ บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (สหรัฐอเมริกา) จำกัด ตั้งอยู่ที่ ซิลิคอน วัลเลย์ เมืองซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยี่ของโลก ซึ่งเป็นฐานในการหาลูกค้าระดับโลกที่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อมูลประชาสัมพันธ์กรุณาติดต่อ บ.เพนเน็ตเทรท จำกัด 02-681-5305-7 กรัณฑฤทธิ เกตุสัมพันธ์ , ปนิษฐา หวังดี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ