ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 10, 2009 08:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ก.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงไทย (KTB) ดังนี้ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว Issuer Default Rating (IDR) ที่ ‘BBB’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘F3’ อันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน (Individual Rating) ที่ ‘C/D’ อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘BBB-’ (BBB ลบ) อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ ‘BBB’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) ที่ ‘BB’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘AA(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศของ Hybrid Tier 1 Securities ที่ ‘A(tha)’ ฟิทช์มองว่าอันดับเครดิตของ KTB มีพื้นฐานมาจากการถือหุ้นใหญ่และการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของรัฐบาล รวมทั้งสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของธนาคาร ถึงแม้ว่าธนาคารยังคงมีความเสี่ยงในด้านของผลการดำเนินงานที่อาจปรับตัวลดลงในอนาคต KTB เป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 17% และมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่จัดตั้งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยถือหุ้นในสัดส่วน 55% เมื่อพิจารณาถึงขนาดและความสำคัญของ KTB ต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจ รวมทั้งการที่ทางรัฐบาลถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมธนาคาร ฟิทช์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหากมีความจำเป็น ในขณะที่การที่ทางรัฐบาลถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมธนาคารมีส่วนช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตระยะยาวของ KTB ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นอาจทำให้ผลการดำเนินงานของธนาคารอ่อนแอลงได้ เนื่องจากธนาคารต้องสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในปี 2551 KTB มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง แต่อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารอาจปรับตัวลดลงในปี 2552 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่รุนแรง ทั้งนี้ฟิทช์ได้ประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ของประเทศไทยปี 2552 ที่ติดลบ 3.1% และจะปรับตัวดีขึ้นเป็นบวก 3% ในปี 2553 KTB มีกำไรสุทธิ 12.3 พันล้านบาทในปี 2551 เพิ่มขึ้น 92.2% จากปี 2550 แม้ว่าธนาคารได้มีการตั้งสำรองเพิ่มเติมจากการด้อยค่าของเงินลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Collateralized Debt Obligation หรือ CDO จำนวน 2.4 พันล้านบาท การขยายตัวของสินเชื่อ (เพิ่มขึ้น 9.2% จากปี 2550) และต้นทุนเงินฝากที่ลดลงช่วยให้ KTB สามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ระดับ 3.9% ในปี 2551 สำหรับช่วงครึ่งปีแรกปี 2552 KTB มีกำไรสุทธิ 5.2 พันล้านบาท ลดลง 14% จากครึ่งปีแรกปี 2551 เนื่องจากรายได้เงินปันผลจากกองทุนรวมวายุภักษ์ที่ลดลงอย่างมากและค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามธนาคารกลับมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารลดลงมาอยู่ที่ 3.4% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงประกอบกับรายการระหว่างธนาคารที่มีอัตราผลตอบแทนในระดับต่ำมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น KTB มีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ 0.8% และอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 10.1% ในครึ่งปีแรกปี 2552 สำหรับครึ่งปีแรกปี 2552 KTB มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อในระดับสูงที่ 4.3% จากสิ้นปี 2551 หรือ 8.6% เมื่อคิดเทียบเป็นอัตราต่อปี ในขณะที่สินเชื่อของธนาคารไทยขนาดใหญ่รายอื่นมีการปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ของ KTB เป็นสินเชื่อที่ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ KTB ลดลงมาอยู่ที่ 86 พันล้านบาท (8.1% ของสินเชื่อรวม) ณ สิ้นปี 2551 เนื่องจากการตัดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกจากบัญชีจำนวน 13.6 พันล้านบาท ในขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 88.7 พันล้านบาท หรือ 8.1% ของสินเชื่อรวม อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ KTB ยังคงอยู่ในระดับต่ำ (41.2%) สะท้อนถึงความเสี่ยงของการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 6 — 12 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจอ่อนแอ การระดมเงินทุนและสภาพคล่องของ KTB ยังคงมีเสถียรภาพ เนื่องจากธนาคารเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีฐานลูกค้าเงินฝากที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย โดยพนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการส่วนใหญ่จะมีเงินฝากกับธนาคาร อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากและอัตราส่วนสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารอยู่ในระดับ 88% และ 26.1% ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 อัตราส่วนเงินกองทุนของ KTB อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 9.8% และมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมที่ 15.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 อย่างไรก็ตามการเติบโตของสินเชื่อในระดับที่สูงเพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนของธนาคารลดลงได้ใน 2 — 3 ปีข้างหน้า ติดต่อ พชร ศรายุทธ, Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4759/61 หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฎข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ