ผู้ผลิตหนังสือเด็กเตรียมเฮ สสส. สั่งลุยเอง ให้ สส.วอ. หนุนงานวิจัยหนังสือเด็กปฐมวัย

ข่าวทั่วไป Friday September 11, 2009 16:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--สสส. รวมพลผู้ผลิตหนังสือเด็กกว่า 40 ชีวิต ระดมความเห็น สสส. ลั่น ทำแน่ งานวิจัย องค์ความรู้ด้านหนังสือเด็ก-ภาษีกระดาษ สส.วอ.-สสย. รับลูกงานวิจัย ชูธงแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่าน เตรียมเปิดเว็บไซต์เป็นสื่อกลาง ยืนยันคัดสรรหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัย นับเป็นครั้งแรกที่นักสร้างสรรค์หนังสือเด็ก ทั้งผู้บริหาร บรรณาธิการ กว่า 40 ชีวิต ได้มาร่วมถกปัญหาและร่วมเสนอแนะหาทางออกเพื่อ “เบิกทาง” เกี่ยวกับหนังสือเด็กปฐมวัย ในงาน เสวนาระดมความคิด “เบิกทางหนังสือเด็กปฐมวัย สู่วาระการอ่านแห่งชาติ ณ ศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เมื่อเร็วๆ นี้ จัดโดยโครงการสำรวจ ศึกษา และดำเนินงานแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่าน” (สส.วอ.)สนับสนุนโดย แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งแม้จะเป็นหน่วยงานที่เพิ่งเริ่มก่อรูปก่อร่าง แต่ก็มีเป้าหมายชัดเจน คือการคัดสรรหนังสือดีสู่มือเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ยังขาดโอกาส และเสริมสร้างรากฐานทางวิชาการเกี่ยวกับหนังสือเด็กปฐมวัย ผู้แทนสำนักพิมพ์ ที่เข้าร่วมระดมความคิด ได้เรียกร้องให้หามาตรฐานจากงานวิจัย งานเชิงวิชาการเป็นเกณฑ์ในการคัดสรร รวมทั้งเปิดพื้นที่ทางเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่งานวิชาการ ขณะเดียวกันพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นสื่อกลางทั้งนักเขียนเรื่อง-เขียนภาพ รวมทั้งพ่อแม่ (ผู้อ่าน) จะได้ร่วมกันประเมินคุณค่าหนังสือ เพื่อเกิดความหลากหลาย อีกทั้งสร้างคุณภาพ มาตรฐาน หนังสือเด็กร่วมกัน ซึ่งข้อเรียกร้องเหล่านี้จะเป็นธงหลักในการดำเนินงานของ แผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่าน ภายใต้การกำกับของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จะเริ่มขึ้นในปีหน้า ความคิดเห็นอันหลากหลายที่เกิดจากการรวมตัวกันในวันนี้ จะกลายเป็นพลังเรียกร้องที่ส่งผ่านไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อผลักดันให้เกิดมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริม “วาระการอ่านแห่งชาติ” อย่างแท้จริง ต้องเริ่มที่คนรอบตัวเด็ก ไม่ใช่เริ่มที่ตัวเด็ก “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือ แต่อยู่ที่ตัวองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับหนังสือภาพสำหรับเด็ก” ครูชีวัน วิสาสะ นักสร้างสรรค์หนังสือเด็กที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เปิดการเสวนา ด้วยการหยิบยกเอาอุปสรรคของวงการหนังสือเด็กปฐมวัยมาชี้ให้เห็นรอยโหว่ที่ต้องเร่งแก้ไข ปรมาจารย์นักสร้างสรรค์หนังสือเด็กมองว่า การให้หนังสือภาพสำหรับเด็กถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของหนังสือเป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับบริบทรายรอบตัวเด็ก ซึ่งหมายถึงคนหลากหลายกลุ่มที่แวดล้อมตัวเด็กอยู่ ตั้งแต่ พ่อแม่ ครูอนุบาล/ครูปฐมวัย รวมทั้ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. ซึ่งยังมองไม่เห็นค่าความสำคัญ ของเด็กกับการอ่านหนังสือ ปัญหาขาดแคลนนักเขียน ในขณะที่คุณสมศักดิ์ เตชะเกษม ประธานกรรมการ บริษัทสำนักพิมพ์บรรณกิจ มองผ่านมุมของผู้บริหารที่เห็นว่าปัญหาของวงการหนังสือเด็กอยู่ที่ “นักเขียนภาพ” ทั้งการขาดแคลนนักเขียนภาพฝีมือดี ทั้งที่มีเรื่องให้เขียนรออยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งความเป็นศิลปินของนักเขียนที่มีต่อเสียงท้วงติงจากกองบรรณาธิการ แต่ทางด้านคุณสุชาดา สหัสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาส เอ็ดดูเคชั่น มองว่า ปัญหาของผู้ผลิตหนังสือเด็กไม่ได้อยู่ที่ขาดคนเขียนภาพ แต่อยู่ที่ขาดคน “เขียนเรื่อง” สาเหตุอาจเป็นเพราะ ในบ้านเรายังไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับหนังสือภาพสำหรับเด็กโดยตรง ในประเด็นนี้ คุณอรชร ตั้งวงษ์เจริญ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ เห็นด้วยว่า มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาของไทยต้องช่วยพัฒนาหลักสูตร ทั้งการเขียนเรื่อง-และการวาดภาพสำหรับหนังสือเด็ก เช่นเดียวกับคุณวิริยา วงศ์วัชระกุศล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สำนักพิมพ์อักษรา ฟอร์ คิดส์ ที่เห็นว่า ปัญหาของผู้ผลิตคือขาดคนวาด ขาดคนเขียนหนังสือเด็กที่เข้าใจเรื่องของเด็กอย่างแท้จริง กำแพงสูง (ที่รอวันทลาย) จากภาครัฐ ส่วนความเห็นที่คุณศิวโรจน์ ด่านศมสถิต กรรมการผู้จัดการ บริษัทสำนักพิมพ์ห้องเรียนนำเสนอก็คือ “ผมอยากเห็นเสรีภาพที่เปิดกว้าง” เพราะมองว่าปัญหาของวงการหนังสือเด็กที่เรียกได้ว่า “อันตราย” อย่างยิ่ง คือการผูกขาดของระบบตลาด ที่เป็นกำแพงกั้นจากภาครัฐอยู่ทุกวันนี้ แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่สามารถทลายกำแพงให้ลดลง ความหลากหลายของหนังสือเด็กก็จะเกิด คุณภาพที่ดีก็จะตามมา ซึ่งในประเด็นนี้คุณผ่องเพ็ญ อาชาเทวัญ ประธานกรรมการสำนักพิมพ์สกายบุ๊คส์ ก็เห็นด้วยเช่นกันว่า อุปสรรคของการทำงานของสำนักพิมพ์เล็กๆ คือไม่อาจเติบโตได้ เพราะมีการผูกขาดจากแบรนด์ขนาดใหญ่ ที่เติบโต และฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน ยิ่งคัดสรร-ยิ่งปิดโอกาส? อีกประเด็นที่คุณศิวโรจน์เสนอแนะก็คือ แนวทางในการคัดเลือกหนังสือดี ผู้คัดสรรต้องใคร่ครวญถึงคำถามที่ว่า “เราจะวัดคุณค่าของการคัดสรรกันอย่างไร?” เพราะเชื่อว่า ยิ่งการคัดเลือกหนังสือดีเปิดกว้างเท่าไหร่ ยิ่งเป็นโอกาสสำหรับทั้งผู้สร้างสรรค์และผู้อ่านมากเท่านั้น ที่สำคัญคือ อย่าได้ติดยึดว่าหนังสือดีคือหนังสือที่ได้รางวัล แต่ต้องเปิดใจให้กว้างฟังเสียงความนิยม ความชื่นชมของกลุ่มผู้อ่านอย่างแท้จริงด้วย สิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการคัดสรรก็คือ การประเมินคุณค่าจาก “ภาควิชาการ” ซึ่งหมายถึงการนำผลการวิจัย นำเสนอสู่ประชาชน เพราะผลทางวิชาการจะเป็นมูลฐานอันแข็งแรงที่สุดที่จะช่วยให้ประชาชนยอมรับได้ นอกจากนี้เขายังเห็นว่า สสส. (สส.วอ.-สสย.) ควรเป็นสื่อกลางในการเปิดเวทีวิชาการ โดยนำเสนองานวิชาการแง่มุมใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่อง BBL (Brain-Based Learning) หรือ Thinking Skill เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจแก่คนในสังคมว่าหนังสือมีข้อดีต่อเด็กแค่ไหน อย่างไร และเมื่อมีผลทางวิชาการเกิดขึ้นแล้ว หนทางหนึ่งที่จะช่วยให้แนวคิด ทฤษฎีด้านการอ่าน เผยแพร่ในวงกว้างได้ก็คือ “ชุมชนทางอินเทอร์เน็ต” หรือการเผยแพร่ผ่านบล็อคต่างๆ รวมทั้งการนำเสนอผลงานการสร้างสรรค์หนังสือภาพผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยคัดกรองคุณภาพ และสร้างมาตรฐานของหนังสือเด็ก “ชุมชนทางอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้คนเชื่อมั่นในพลังการวินิจฉัย (หนังสือเด็ก) และเกิดความหลากหลายของหนังสือด้วย เว็บไซต์กลางของ “ชุมชนนักเขียนภาพประกอบ” หรือชุมชน Illustration/ Illustrator จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเขียนที่โพสต์ประวัติ-ผลงานของตัวเองลงไป ได้เผยแพร่ความสามารถของตัวเองในวงกว้าง ซึ่งชุมชนนักเขียนภาพประกอบนี้ก็จะกลายเป็นพื้นที่เชื่อมโยงคนที่มี “คอเดียวกัน” (คนเขียนเรื่อง-คนเขียนภาพ) ได้มาทำงานร่วมกัน ได้เห็นความหลากหลาย และ “สิ่งที่ไม่ได้ถูกเลือกในที่หนึ่งอาจเหมาะสมกับอีกที่หนึ่งก็ได้” ด้านสำนักพิมพ์ก้อนเมฆก็เห็นด้วยที่ สส.วอ. (สสย.) จะเป็นสื่อกลางในการเปิดพื้นที่ทางเว็บไซต์ โดยเสริมว่าในเว็บไซต์กลางนี้ควรเปิดพื้นที่ให้พ่อแม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ (review) หนังสือเด็กคล้ายกับเว็บไซต์อเมซอน (www.amazon.com) ขณะที่คุณสุชาดา สหัสกุล จาก บริษัท พาส เอ็ดดูเคชั่น ก็ร่วมแสดงความเห็นในปัญหาการคัดสรรหนังสือเด็กว่าบางโอกาสสำนักพิมพ์ขาดความร่วมมือในการส่งหนังสือเด็กเข้าคัดสรร จากสมาชิกที่สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 500 แห่ง ก็ส่งมาคัดสรรเพียงครึ่งเดียว ทำให้จำนวนที่ได้รับมีเพียงประมาณ 2,000 ปก ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก จึงมองว่าหากต้องการให้การคัดสรร เป็นการกลั่นกรองคุณภาพของหนังสือเด็กอย่างแท้จริง ต้องเริ่มต้นจากการหาหนทางให้สำนักพิมพ์ส่งปริมาณหนังสือเข้าสู่กระบวนการคัดสรรเป็นจำนวนมากเสียก่อน ยังมีความเห็นในเรื่องการคัดสรรหนังสือจาก คุณวรินทร์เนตร ศิริโชติชำนาญ กรรมการผู้จัดการบริษัท Be Amazing Edutainment ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก “ขบวนการนักอ่าน” ซึ่งนำประสบการณ์จากการจัดรายการโทรทัศน์ของตนเองมาเล่าว่า ในรายการมีช่วงของการคัดสรรหนังสือเช่นกัน ซึ่งเธอก็ใช้วิธีเปิดกว้างให้ทุกสำนักพิมพ์มีโอกาสนำเสนอตัวเองอย่างเท่าเทียม และแม้จะมีหนังสือที่ถูกเลือกมานำเสนอในรายการแล้ว แต่ก็ทิ้งท้ายบอกผู้ชมเสมอว่าหนังสือดีไม่ได้มีเพียงเล่มเดียวแต่ยังมีอีกมากมายรอให้เปิดอ่าน หนังสือเด็ก-หนังสือชั้น 2 แต่ปัญหาที่ประธานสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ หนักใจที่สุด คือเรื่อง “การจัดจำหน่าย” ซึ่งจากการสำรวจทั่วประเทศพบว่าร้านหนังสือที่เปิดพื้นที่ให้กับหนังสือเด็กนั้นคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก “ชั้นหนังสือเด็กจะไม่เคยปรากฏหน้าร้านเลย” คุณสุชาดามองว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะมีกลุ่มผู้บริโภคน้อย พ่อแม่ยังไม่รู้จัก ไม่คิดที่จะซื้อหนังสือเด็กมากนัก รวมทั้งอาจเป็นเพราะสาเหตุจากครูที่ไม่สามารถเลือกหนังสือได้เอง เพราะถูกผู้ใหญ่บังคับหรือถูกกำหนดมาล่วงหน้าแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ คุณรุ่งโรจน์ อาชาเทวัญ ผู้จัดการทั่วไป สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ก็เห็นด้วยว่า สถานะของหนังสือเด็กในร้านหนังสือนั้นยังเป็นรองหนังสือสำหรับผู้อ่านกลุ่มอายุอื่นๆ อยู่มาก เพราะหนังสือเด็กมักไปซ่อนอยู่ในซอกหลืบของร้านเสมอ ส่วนประเด็นเรื่องครูเลือกหนังสือเองไม่ได้นั้น มองว่าเป็นปัญหาจากระบบผูกขาดการซื้อขาย ที่มีมาช้านาน ส่วนทางด้านคุณวิริยา วงศ์วัชระกุศล จากสำนักพิมพ์อักษรา ฟอร์ คิดส์ ก็เห็นด้วยกับเรื่องพื้นที่สำหรับหนังสือเด็กในร้านหนังสือที่มีจำนวนจำกัด ซึ่งทางสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือในราคาไม่แพง คือ 20-55 บาทต่อเล่มนั้น แม้จะขายได้จำนวนมากแต่ก็ยังได้กำไรน้อย ต้องกำหนดช่วงอายุของผู้อ่านหนังสือเด็กหรือไม่? ส่วนเรื่องการหาเกณฑ์เพื่อกำหนดช่วงอายุของกลุ่มผู้อ่านหนังสือเด็กยังคงมีข้อถกเถียงทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย โดยคุณรุ่งโรจน์ มองว่า ผู้ผลิตหนังสือเด็กควรหาเกณฑ์กำหนดช่วงอายุให้เหมือนกันทุกสำนักพิมพ์ และระบุไว้บนปกหนังสือ เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่คุณศิวโรจน์ กลับมองว่าไม่มีความจำเป็นต้องหากฎเกณฑ์ตายตัวในเรื่องนี้ เพราะในต่างประเทศก็ใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป “ข้อขัดแย้ง หรือความแตกต่างเกิดขึ้นบ้างเป็นสิ่งดี เราไม่ควรไปตีกรอบเรื่องนี้” เมื่อกล่าวถึงข้อขัดแย้ง ครูชีวัน วิสาสะ ก็ได้ตั้งข้อคิดทิ้งท้ายแนวทางการคัดเลือก การประกวดหนังสือดีในสังคมไทยไว้ว่า “มันมากเกินไปหรือเปล่า?” สังคมกำลังถูกกฏเกณฑ์บางอย่างครอบงำหรือไม่ ควรจะมีการตั้งคำถามแย้งคณะกรรมการประกวดตัดสินเกิดขึ้นบ้าง สำหรับหนังสือที่เข้าร่วมการคัดสรรหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งในขณะนี้มีหนังสือเข้าร่วมการคัดสรรแล้วกว่า 1,000 เล่ม ทางโครงการฯ จะยังเปิดรับหนังสือจากผู้ผลิตและสำนักพิมพ์ที่สนใจโดยเฉพาะหนังสือในกลุ่มนิทานภาพสำหรับเด็กปฐมวัย ในฐานะที่เป็นสื่อสำคัญที่สุดของการเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่าน และสานสัมพันธ์ความอบอุ่นในครอบครัว เพื่อส่งให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกหนังสือ และประกาศเป็นต้นฉบับหนังสือคัดสรรสำหรับเด็กปฐมวัย รวมถึงหาแนวทางสนับสนุนการผลิต ตลอดจนช่องทางสู่ครอบครัวด้อยโอกาสทั่วประเทศต่อไป ผู้ผลิต หรือสำนักพิมพ์ สามารถส่งหนังสือเข้าร่วมคัดสรรได้ที่ โครงการสำรวจ ศึกษา และดำเนินงานแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่าน 979/ 116-120 อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ ชั้น 15 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2552 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณนันทศิริ ญาณจันทร์ ผู้ประสานงานโครงการฯ โทรศัพท์ 0-2298-0222

แท็ก สสส.   ลุย  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ