บทวิเคราะห์ mai จากสถาบันวิจัยนครหลวงไทย 11 ก.ย. 2552 - ผลบวกในกลุ่ม mai กับการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 11, 2009 16:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--ตลท. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้ “มาตรการไทยเข้มแข็ง 2555” ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. 2552 เป็นต้นไป คาดจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศไทยในช่วง 2H/52 กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยมาตรการดังกล่าว นอกจากจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในกรอบปีละ 1.25 — 2.25% ในช่วงปี 2553 — 2555 และคาด GDP ในปี 2553 จะกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ 1.5 — 3.5% เม็ดเงินที่กระจายเข้าสู่ระบบยังช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มผู้ประกอบการ mai กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริโภคโดยตรง อาทิ กลุ่มผู้ผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรม ดังสรุปได้ดังนี้ TPAC: แนวโน้มการบริโภคในประเทศที่จะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ใน 2H/52 ทำให้ TPAC ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับธุรกิจอาหาร เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน มีแนวโน้มประกาศผลการดำเนินงานใน 2H/52 ที่โดดเด่น และมีโอกาสที่ SCRI จะปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2552 เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 80 ล้านบาท สำหรับสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จะทำให้ TPAC จ่ายเงินปันผลในระดับสูงสม่ำเสมอ โดยคาดเงินปันผลจ่ายสำหรับปี 2552 เท่ากับ 0.44 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่ากับ 7.65% ต่อปี ดังนั้น แนะนำ ซื้อ โดยมีมูลค่าเหมาะสมปี 2552 เท่ากับ 6.60 บาท/หุ้น TRT: อุปสงค์การใช้หม้อแปลงไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนับแต่จุดเริ่มที่โรงไฟฟ้าจนถึงปลายทางผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย ผลักดันให้ภาพรวมของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้ายังคงขยายตัวโดดเด่น และคาดแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าระหว่างปี 2552-2554 จะเติบโตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี ประกอบกับคู่แข่งขันในธุรกิจที่มีอยู่น้อยรายและศักยภาพการประมูลงานโดยเฉพาะตลาดหม้อแปลงกำลังขนาดใหญ่ที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดสูงกว่า 30% ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานปี 2552 เติบโตโดดเด่น 28% yoy เป็น 260 ล้านบาท สำหรับสภาพคล่องทางการเงินที่อยู่ในระดับสูงตามภาวะขาขึ้นของผลการดำเนินงาน ทำให้ TRT สามารถจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 9.5% ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปี 2553 เท่ากับ 9.00 บาท/หุ้น TNDT: ธุรกิจตรวจสอบเชิงวิศวกรรมแบบไม่ทำลายของ TNDT ที่เติบโตควบคู่ไปกับการลงทุนในธุรกิจพลังงาน-ปิโตรเคมีของประเทศไทย ดังเห็นได้จากมูลค่างานในมือของบริษัทในระดับสูงกว่า 463 ล้านบาท นอกจากนี้ การรุกตลาดการตรวจสอบระดับสูง ผลักดันให้ GPM ขยายตัวต่อเนื่อง และทำให้แนวโน้มผลประกอบการปี 2552 — 2554 ของ TNDT ขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 11% CAGR อีกทั้งฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทมีความพร้อมและสามารถรองรับการขยายกิจการในอนาคตได้โดยไม่มีปัญหาทางการเงิน ดังนั้น SCRI แนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 5.20 บาท/หุ้น TNH: ทิศทางของเศรษฐกิจที่เริ่มกลับเข้าสู่จุดสมดุล ประกอบกับความกังวลถึงการกลับมาระบาดอีกครั้งหนึ่งของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ จะทำให้ผุ้ป่วยหันเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลเร็วขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลยังมีแนวโน้มเติบโต ประกอบกับการเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ดึงดูดผู้ป่วยให้เข้ามารักษาตัวมากขึ้น ช่วยหนุนให้กำไรของ TNH ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งสูงเป็นประวัตการณ์ โดยมีกำไรสุทธิปี 2552 เท่ากับ 166 ล้านบาท ดังนั้น SCRI แนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 11 บาท/หุ้น (DCF, WACC 12%, Growth 3.5%) UMS: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ผลักดันให้อุปสงค์การใช้ถ่านหินทั้งในและต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดย UMS ซึ่งเป็นผู้ค้าถ่านหินที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงกว่า 50% จะได้รับประโยชน์สูงสุด และ SCRI คาดกำไรในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% CAGR อีกทั้ง สภาพคล่องการดำเนินงานที่ยังอยู่ในระดับเหมาะสม ทำให้บริษัทจ่ายปันผลต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่าปีละ 7.8% ดังนั้น SCRI แนะนำ ซื้อ โดยมีมูลค่าเหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 17.50 บาท/หุ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ