กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท สยองขวัญ
สัญชาติ อเมริกา
อำนวยการสร้าง ไมค์ คารส์ (Good Luck Chuck, First Daughter)
กำกับ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ (The Closet, Whisper)
เขียนบท จอร์ช สโตวเบิร์ค (Good Luck Chuck, Kids in America)
นำแสดง บริอาน่า เอวิแกน (Step Up 2: The Streets, S. Darko)
ลีอา ปิเปส (Terminator: The Sarah Connor Chronicles)
เจมี่ ชุง (Dragonball Evolution, Samurai Girl)
รูเมอร์ วิลลิส (The House Bunny, Wild Cherry)
อาเดรียน่า พาทริช (The Hills)
กำหนดฉาย 1 ตุลาคม 2552
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
เมื่อ 5 สาวแห่งบ้านเธตา ไพ ทำให้เพื่อนคนหนึ่งตายจากการแกล้งที่เกินเลย พวกเธอจึงร่วมมือกันซ่อนหลักฐานและไม่พูดถึงคืนแห่งฝันร้ายนี้อีกนับจากนั้น แต่เมื่อฆาตกรปริศนาปรากฏตัวขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา และไล่ตามสังหารหญิงสาวจากค่ำคืนนั้นด้วยวิธีการอันสุดแสนวิปริต พวกเธอก็พบว่าตัวเองต้องต่อสู้ด้วยชีวิต เพื่อที่ได้จะเอาชีวิตรอดจากค่ำคืนการเฉลิมฉลองในการเรียนจบนี้
นี้คือภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังคัลท์ปี 1983 เรื่อง The House of Sorority Row ที่สร้างตามแนวคิดที่เล่าถึงการตามล้างแค้นที่สุดบรรยาย ผสมผสานกับตลกร้ายและความสยองจนถึงขีดสุด ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างสิ่งจุดเด่นที่ทำให้กลายเป็นภาพยนตร์ ที่ดูแปลกแตกต่างจากหนังสยองขวัญรีเมคทั่วไป
บริอาน่า เอวิแกน (Step Up 2: The Streets) แสดงร่วมกับ ลีอา ปิเปส, รูเมอร์ วิลลิส (The House Bunny), เจมี่ ชุง (Dragonball), มาร์โก้ ฮาร์ชแมน (Even Stevens), อาเดรียน่า พาทริช (The Hills) และ แคโรไลน์ ดิอามอร์ (Entourage) ซึ่งรับบทเป็นสาวๆแห่งบ้านเธตา ไพ กลุ่มเพื่อสาวที่ฮ๊อตที่สุดในมหาวิทยาลัย โดยยังมีนักแสดงสมทบอย่าง แคร์รี ฟิชเชอร์ (Star Wars Trilogy) ที่รับบทเป็นครูผู้ดูแลบ้าน, จูเลี่ยน มอร์ริส (ER), แม็ตต์ แลนเตอร์ (90210), แม็ต โอเลียรี่ย์ (Live Free or Die Hard) และ แม็กส์ เฮนนาร์ด (Dear John) ที่รับบทเป็นหนุ่มๆผู้หลงระเริงอยู่ในโลกปาร์ตี้, เพื่อน และบาป
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ (Whisper) กำกับจากบทภาพยนตร์โดย จอร์ช สโตรลเบิร์ค และ พีท โกล์ดฟิงเกอร์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสยองขวัญปี 1983 ของ มาร์ค รอสแมน โดยมี ไมค์ คารส์ และ แดร์ริน โฮแลนเดอร์ เป็นผู้อำนวยการสร้าง
สาวเธตา ไพ ต้องตาย !!!
เรื่องราวใน Sorority Row
เมื่อหนึ่งปีก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของสาวๆบ้านเธตา ไพดูสวยงามและสนุกสุขสันต์ พวกเธอคือกลุ่มสาวที่ป๊อปที่สุด (และปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่สุด) ในมหาวิทยาลัย บ้านเธตา ไพเปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ที่ถูกมอบให้กับนักศึกษาใหม่ ที่ได้รับการถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี
บ้านหลังนี้ประกอบไปด้วยสาวที่มีนิสัยดีและแย่เกินคำบรรยาย เช่นสาวจิตใจดีอย่าง แคสซิดี้ (บริอาน่า เอวิแกน) ที่ความรักระหว่างเธอกับ แอนดี้ (จูเลี่ยน มอริส) แฟนหนุ่ม ถูกขัดขวางด้วยกิจกรรมของเธอกับสาวคนอื่น, "ราชินี" เจสสิก้า (ลิอา ปิเปส) หัวหน้ากลุ่มที่มีเป้าหมายในการเป็นที่หนึ่งของทุกสิ่ง โดยมีแฟนหนุ่มรูปหล่อพ่อรวย ไคลล์ (แม็ตต์ แลนเตอร์) อยู่ข้างกาย, หนอนหนังสือ แอลลี (รูเมอร์ วิลลิส) เพื่อนสนิทของ แคสซิดี้ รวมถึงสาวที่ทั้งเซ็กซี่และบ้าพลังอย่าง แคลร์ (เจมี่ ชุง) ที่เทิดทูนบูชาตัว เจสสิก้า กับแฟนหนุ่ม มิกกี้ (แม็กซ์ เฮนนาร์ด) และสุดท้ายก็คือ ชัค (มาร์โก้ ฮาร์สแมน) สาวปาร์ตี้ที่ไม่เคยพบเบียร์หรือหนุ่มคนใด ที่เธอไม่สามารถกระดกหมดแก้วได้ภายในอึกเดียว
แต่ชีวิตของพวกเธอทุกคนก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อวันปฏิญาณตนของนักศึกษาใหม่ของบ้านเธตา ไพ พวกผู้หญิงได้รวมหัวกันแกล้งครั้งสำคัญ ซึ่งจะนำพวกเธอไปสู่ความสยอสยองแบบไม่มีใครคาดคิด และโศกนาฏกรรมที่เฝ้ารออยู่ปลายทาง โดยเมื่อสาวๆพบว่า แกเร็ธ (แม็ต โอไรลี่ย์) พี่ชายของ ชัค นอกใจเพื่อสาวของพวกเธอ เมแกน (อาเดรียน่า พาทริช) พวกเธอจึงวางแผนให้ เมแกน จัดการลงโทษเขา โดยยุให้ แกเร็ธ แอบใส่ยาอีเข้าไปในเครื่องดื่มของ เมแกน แล้วให้เธอแสร้งทำว่าชักหลังจากทานยาเข้าไป และให้เธอแกล้งทำเป็นตาย
พวกเธอให้ แกเร็ธ หิ้ว เจสสิก้า ขึ้นรถเก๋งคันงาม และทะเลาะกันว่าพวกเธอจะทำยังไงกับศพของ เมแกน ดี แต่ระหว่างที่สาวๆกำลังแกล้งตกใจกันอยู่นั้น แกเร็ธ ก็ได้เสียบเอากากบาทเปลี่ยนล้อลงไปบนคอหอยของ เมแกน ที่กำลังนอนนิ่งรอสัญญาณจากเพื่อนๆให้ลุก เธอเสียชีวิตทันที และทำให้เพื่อนสาวรวมถึง แกเร็ธ ต้องตกใจสุดชีวิต
จากการแกล้งที่จะทำให้ทุกคนต้องหัวเราะกับอาการตกใจของ แกเร็ธ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นฝันร้ายโชกเลือดที่ไม่มีใครต้องการหรือแม้แต่จะคิดถึง ถึงแม้ว่า แคสซิดี้ จะรีบวิ่งออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ผู้หญิงคนอื่นๆก็ต่างถูกทำให้เชื่อโดย เจสสิก้า ว่าให้โยนร่างอันไร้ชีวิตของ เมแกน ลงไปในเหมืองร้างใกล้ๆ และให้คำมั่นสัญญากันว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ถึงแม้ แคสซิดี้ และ แอลลี จะไม่สนับสนุนความคิดของ เจสซิก้า แต่พวกเธอก็จำใจต้องทำตามแผน เพราะว่าร่างโชกเลือดของ เมแกน นั้นถูกห่อด้วยเสื้อแจ็คเก็ตของ แคสซิดี้ นั้นเอง
เวลาล่วงเลยไปหนึ่งปีหลังจากที่หญิงสาวบางคน ต้องพบกับทนทุกข์เสียใจและมีอาการวิตกจริต พวกเธอก็ต่างเตรียมพร้อมสำหรับการออกจากบ้าน เธตา ไพ โดยมี มิส เครนชอว์ (แคร์รี่ ฟิชเชอร์) คุณครูประจำบ้าน คอยควบคุมดูแล พวกนักศึกษาใหม่ก็ได้เดินทางมาถึงบ้านเธตา ไพ รวมถึงแม็คกี้ (แคโรไลน์ ดิอามอร์) น้องสาวของ เมแกน โดยสาวหน้าใหม่ได้เข้ามาร่วมปาร์ตี้ครั้งแรกที่เป็นการเลี้ยงส่งรุ่นพี่
แต่นี้กลับกลายเป็นปาร์ตี้ที่ไม่มีใครสามารถลืมเลือน เมื่อฆาตกรที่สวมชุดคลุมสีดำสำหรับนักศึกษาที่เรียนจบ ได้เข้ามาฉีกทำลายความสัมพันธ์ของสาวๆแห่งบ้านเธตา ไพ ด้วยการไล่ล่าพวกเธอทีละคนโดยมีแรงจูงใจถึงเรื่องการตายของ เมแกน โดยเมื่อค่ำคืนนี้ สิ้นสุด ก็จะมีเพียงหญิงสาวเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิต... ที่ขอร้องให้ฆาตกรปริศนาไถ่โทษให้ รวมถึงขอให้ไว้ชีวิตของพวกเธอด้วย
ทางเดินทางครั้งใหม่ของสาวๆแห่งบ้านเธตา ไพ
ในปี 1983 ผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง มาร์ค รอสแมน ได้สร้าง The House of Sorority Row หนังสยองขวัญที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยทุนรอนที่จำกัด ซึ่งผลสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นหนังที่ทำรายได้มากกว่าทุนสร้างถึง 10 เท่า โดยนักแสดงและทีมงานในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ฮาร์บี่ย์ เจน โคแซ็ค (Arachnophobia) และผู้กำกับภาพ ทิม เซอร์สเต็ดท์ (Little Miss Sunshine) ก็กลายเป็นคนที่มีงานชุกจนถึงปัจจุบัน ส่วน รอสแมน เองก็กลายเป็นผู้กำกับที่มีเครดิตมากมาย โดยจารึกผลงานชิ้นแรกของเขาเอาไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ แต่ในที่สุดมันก็ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ งโดยสองผู้อำนวยการสร้าง ไมค์ คารส์ และ แดร์ริน โฮแลนเดอร์
แดร์ริน โฮแลนเดอร์ เล่าถึงการหยิบเรื่องนี้มาสร้างใหม่ว่า "ภาพยนตร์ต้นฉบับนั้น เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่พ่อของผมซื้อลิขสิทธิ์และนำไปจัดจำหน่ายทั่วโลก ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับการนำมาสร้างใหม่" ซึ่ง โฮแลนเดอร์ เองก็ได้เสนอความคิดนี้กับ ไมค์ คารส์ ผู้ที่สตูดิโอของเขาเพิ่งทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับเรื่อง Good Luck Chuck มา
ไมค์ คารส์ เล่าถึงการได้รับข้อเสนอว่า "แค่ผมได้ยินว่าจะมีการนำหนังเรื่องนี้มาสร้างใหม่ก็ทำให้ผมรู้สึกสนใจแล้ว ผมจำมันได้เป็นอย่างดี เพราะว่า มาร์ค รอสแมน เพื่อนของผมก็กำกับหนังที่มีผมเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง Model Behavior ซึ่งเขาเองก็เป็นคนสร้างต้นฉบับ ผมรู้สึกชอบไอเดียของเรื่องนี้มาโดยตลอด และมันก็น่าจะเป็นหนังที่เหมาะสมในการนำมารีเมค"
ไมค์ คารส์ เพิ่งร่วมงานกับผู้เขียนบท จอร์ช สโตรลเบิร์ค ในเรื่อง Good Luck Chuck มาและพวกเขาก็ได้นำเอาผู้ที่เคยร่วมงานอีกคนอย่าง พีธ โกล์ดฟิงเกอร์ เข้ามาช่วยร่วมกันสร้างเรื่องราวใหม่ที่อ้างอิงจากตัวต้นฉบับ โดยต้องใส่อารมณ์ขันร้ายๆลงไปให้มากกว่าเดิม แต่ยังคงอยู่ในพื้นฐานของหนังสยองขวัญ
ไมค์ คารส์ เล่าว่า "จากการดูหนังสยองขวัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ามันทั้งดูหดหู่และรบกวนจิตใจมาก เช่นหนังอย่าง Saw และ hostel ดังนั้นนักเขียนบทและผมจึงพยายามคิดย้อนกลับไปก่อนหน้าหนังเหล่านั้น เพื่อสร้างให้มันสามารถสร้างปรากฏการณ์ช็อคให้กับคนดู แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีการพัฒนาตัวละครและการใส่อารมณ์ขันร้ายๆเข้ามา ซึ่งพวกเราก็มองเห็นโอกาสในการใช้มัน เพราะด้วยสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยนั้นเอง"
ผู้เขียนบทภาพยนตร์เริ่มจินตนาการโดยยึดจากต้นฉบับของ มาร์ค รอสแมน และอัพเดทมันขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากกรอบเดิม โดย จอร์จ สโตรลเบิร์ค เล่าว่า "เพราะหนังต้นฉบับนั้นถูกสร้างเมื่อ 25 ปีก่อน ค่านิยมของผู้หญิงจึงเปลี่ยนไปหมดแล้ว พวกเราต้องการเก็บเอาเสน่ห์และจิตวิญญาณของต้นฉบับไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่ความพิเศษของเราลงไปใหม่ด้วย"
โดยเวอร์ชั้นใหม่นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้อำนวยการสร้างพอใจ แต่ผู้สร้างดั้งเดิมเองก็รู้สึกพอใจไม่แพ้กันด้วย มาร์ค รอสแมน เล่าว่า "เวอร์ชั่นนี้ยังมีการใช้ฉากการแกล้งที่ผิดพลาดแบบเดียวกับของผม แต่แทนที่จะครูดูแลบ้านจะเสียชีวิต เหยื่อในเรื่องนี้คือเพื่อนสาวของพวกเธอเอง โดยใช่ไอเดียของการหยอกกันเล่นแล้วเลยเถิด หลังจากนั้นก็ถูกไล่ตามฆ่าจากอาชญากรรมที่พวกเธอก่อ พวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางที่รุนแรงกว่าเวอร์ชั่นของผม"
เมื่อบทภาพยนตร์ถูเขียนขึ้นมาแล้ว ผู้กำกับ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ ก็ได้อ่านและตกลงที่จะรับหน้าที่เป็นผู้กำกับเรื่องนี้ เขาเล่าว่า "สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมชอบมากก็คือการพัฒนาตัวละคร มีหนังสยองขวัญหลายเรื่องที่เริ่มต้นด้วยการสังหารเหยื่อทันที การทรมานเหยื่อในแบบที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือกระทั่งการทำความรู้จักตัวละครนี้ก่อนเรื่องจะเกิดขึ้น แต่หนังของเราจะใช้เวลาในการทำความรู้จักผู้หญิงแต่ละคน ก่อนที่เรื่องราวสยองขวัญจะระเบิดออกมา ผมคิดว่าคนดูคงรู้สึกอยากกลับไปดูหนังสยองขวัญ ที่มีทั้งหัวใจและจิตวิญญาณเช่นนี้นานแล้ว"
ผู้อำนวยการสร้างเองก็รู้สึกพอใจกับผลงานในด้านโฆษณาของ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ ซึ่งมีลูกค้าชื่อดังอย่าง Budweiser, BMW และ MTV โดย ไมค์ คารส์ เล่าว่า "สจ๊วต เป็นคนที่มีความสามารถอยู่หลายด้าน พวกเราชอบโฆษณาที่เขากำกับ ที่มันมีทั้งความแข็งแกร่งในด้านภาพและการแสดง พวกเรารู้ว่าเขาจะเอาหนังเรื่องนี้ไปทำในรูปแบบของตัวเองได้"
คำปฏิญาณตน: การคัดเลือกสาวแห่งบ้านเธตา ไพ
เมื่อบทภาพยนตร์ได้รับไฟเขียวจากทางสตูดิโอแล้ว ทีมงานสร้างก็ได้หันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการสร้าง... นั้นก็คือการคัดเลือกนักแสดง
ไมค์ คารส์ เล่าถึงบุคคลิกของสาวแต่ละคนว่า "พวกเราชอบไอเดียของการที่มีกลุ่มหญิงสาวเป็นตัวละครหลัก เจสสิก้า คือเจ้าแม่และนางมารร้ายที่ควบคุมบ้านเธตา ไพ, แคลร์ สาวที่อยากเป็น เจสสิก้า ใจจะขาดและตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง, เอลลี เป็นหญิงฉลาดที่มักจะตัดสินใจได้ถูกต้อง แต่เธอก็มักจะเกิดกอาการวิตกจริตตลอดเวลา และสุดท้ายก็คือ แคสซิดี้ ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของความถูกต้อง เธอเป็นเหมือนเคนที่คอยเตือนสติเพื่อนคนอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมที่พวกเธอต้องตัดสินใจ"
ผู้กำกับสจ๊วต เฮนด์เลอร์ คิดว่าผู้หญิงที่ถูกมารับเล่นเป็น แคสซิดี้ และ เจสสิก้า จะต้องมีพลังแข็งแกร่งพอ ที่จะแสดงให้คนดูเห็นถึงการต่อสู้ระหว่างความเลวและความดีในจิตใจของทั้งคู่ "พลังงานขับเคลื่อนที่ยอมเยี่ยมที่สุดในเรื่องนี้ น่าจะมาจากการต่อสู้ระหว่าง เจสสิก้า ซึ่งเป็นราชินีแห่งบ้านเธตา ไพ และ แคสซิดี้ ผู้หญิงที่เราสามารถให้ความไว้วางใจได้ที่สุดในเรื่อง เจสสิก้า ได้วางแผนชีวิตของเธอเอาไว้แล้ว และไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาขวางทางสิ่งที่เธอต้องการ ในทางกลับกัน แคสซิดี้ รู้สึกรังเกียจในพฤติกรรมและความคิดของ เจสสิก้า และคัดค้านกับเธอตลอดทั้งเรื่อง"
บริอาน่า เอวิแกน
บริอาน่า เอวิแกน คือสาวที่ถูกคัดเลือกให้รับบทเป็น แคสซิดี้ ที่ต้องใช้ทั้งพลังและความสามารถ โดยเธอเองก็เป็นที่รู้จักจากบทบาทของ แอนดี้ สาวฮิปฮอปจากหนังเต้นสุดฮิต Step Up 2: The Streets
ผู้กำกับ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ พูดถึงนักแสดงสาวคนนี้ว่า "บริอาน่า มีพลังที่อยู่ในตัวเธอสูง และความฉลาดเฉลียวที่เธอแสดงให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ เธอเป็นคนจำพวกที่ไม่อยากหยุดนิ่ง เธอยังมีความแข็งแกร่งของร่างกายซึ่งสำคัญต่อตัวละครที่เธอเล่น เพราะว่าบทนี้จะมีฉากต่อสู้ให้เธอได้แสดงฉากสตันท์อยู่พอสมควร และพวกเราก็คิดว่าเธอจะรับมือกับมันได้กี ซึ่งสุดท้ายแล้วเธอทำมันได้อย่างดีเยี่ยม"
การได้รับบทเป็น แคสซิดี้ ก็ทำให้ บริอาน่า รู้สึกพอใจ เพราะว่านี้เป็นตัวละครที่แข็งแกร่งและมีเหตุมีผล เป็นตัวละครที่เธอสามารถเข้าถึงได้ในชีวิตจริง โดยเธอเล่าว่า "เมื่อฉันได้อ่านบทภาพยนตร์ ฉันก็คอยพูดตัวเองในใจว่า "ฉันชอบตัวละครนี้" เธอเป็นคนที่แข็งแกร่งและมั่นใจในตัวเอง และนั้นเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกว่าเกิดขึ้นในชีวิตจริง หรือว่าเป็นสิ่งที่ฉันพยายามอยู่ทุกวัน จากกลุ่มสาวทั้งหมดเธอเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุด และฉันก็ยังตั้งตารอคอยการได้เล่นฉากสตันท์ด้วย ซึ่งมันก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดสำหรับฉันเลยทีเดียว"
ลีอา ปิเปส
สำหรับบทของ เจสสิก้า ทีมผู้สร้างต้องการนักแสดงที่อาจจะไม่ดังเท่ากับ บริอาน่า เอวิแกน แต่จะต้องมีราศีที่สามารถเทียบเคียงได้กับเธอ ซึ่งบทนี้ก็ตกเป็นของดาราสาวหน้าใหม่ ลีอา ปิเปส
เธอเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มสาวๆ โดยเธอเองก็เป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์การแสดงมาบ้างแล้วบนจอโทรทัศน์ และได้ก้าวเข้ามาในโลกของจอเงินก็จากหนังสยองขวัญเรื่อง Fingerprints ที่เพิ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ NYC Horror Film Festival ในปีนี้
ไมค์ คารส์ พูดถึง ลีอา ปิเปส ว่า "ลีอา เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรา ถึงแม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์น้อย แต่เธอก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เธอเป็นคนมีเสน่ห์และทุ่มเทกับการรับบท ที่สร้างความเกลียดชังให้กับคนดูได้ถึงขนาดนี้"
ลีอา ปิเปส เองก็ได้เล่าถึงตัวละครที่เธอเล่นว่า "เจสสิก้า เป็นผู้หญิงที่ใจร้ายและเห็นแก่ตัวสุดๆ เธอเกือบจะกลายเป็นตัวการ์ตูนไปเลย แต่นี้ก็ทำให้เธอเป็นตัวละครที่สนุกและทำให้ฉันอยากทำให้ถึงที่สุด การได้เล่นเป็นเธอช่วยให้ฉันได้มองเห็นถึงมุมมองที่แตกต่างออกไป เพราะปกติแล้วฉันจะได้รับแต่บทที่อยู่ตรงข้ามกับคนที่มีความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจ"
รูเมอร์ วิลลิส
สำหรับตัวละครอย่าง แอลลี ทีมผู้สร้างก็ได้ปรึกษากันว่า ไม่เพียงแต่นักแสดงที่ถูกรับเลือกจะต้องเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มาแล้ว แต่เธอต้องมีอะไรบางอย่างที่หนังสยองขวัญทุกเรื่องพึงควรมี... นั้นก็คือการหวีดร้องที่ได้ใจ
ไมค์ คารส์ เล่าว่า "รูเมอร์ วิลลิส กลายเป็นคนที่เข้ามารับบท เอลลี ได้อย่างเหมาะสมที่สุด ถึงแม้ว่าตัวละครนี้จะแตกต่างจากตัวจริงของเธออย่างสิ้นเชิง เพราะ เอลลี เป็นผู้หญิงขี้กลัวและขี้ตกใจ ในขณะที่ รูเมอร์ เป็นคนที่ร่าเริงและล้อเล่นตลอดเวลาในกองถ่าย แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอเข้าถึงตัวละครนี้แล้ว เธอก็สามารถตระโกนและกรีดร้องได้ดีกว่าใครในเรื่อง"
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ อธิบายถึงความสามารถพิเศษของ รูเมอร์ ว่า "ผู้หญิงหลายคนสามารถกรีดร้องได้ แต่หลายคนก็ทำไม่ได้ไม่เก่ง รูเมอร์ วิลลิส ถือว่าเป็นยอดฝีมือแห่งการกรีดร้อง ระหว่างที่พวกเรากำลังถ่ายทำ เธอสามารถทำให้ทีมงานหลายคนรู้สึกขนลุกและตกใจได้จริงๆ "
หลังจากที่ได้รับบทนี้แล้ว รูเมอร์ วิลลิส ก็ทำการค้นคว้าหาข้อมูล เกี่ยวกับนักแสดงหญิงที่กรีดร้องได้ใจที่สุดในหนังสยองขวัญ โดยเธอได้กล่าวถึงสิ่งที่เธอทำในเรื่อง "ฉันฝึกซ้อมการกรีดร้องของฉันมามากพอสมควรเลย โดยคุณต้องฝึกฝนเพื่อทำให้แน่ใจว่ามันดูเหมือนว่าคุณกำลังตกใจจริงๆ ฉันศึกษาการกรีดร้องของ เนฟ แคมป์เบลล์ ใน Scream คือมันจะมีการกรีดร้องถึงสองระดับ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก และมันก็ยากกว่าที่คุณคิดเยอะ (หัวเราะ)"
เจมี่ ชุง
เจมี่ ชุง เป็นนักแสดงหญิงอีกคนที่มีความเหมาะสมทางร่างกาย ในการแสดงฉากสตันท์ที่ต้องรับบทหนัก ซึ่งเธอเองก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วจากหนังแอ็คชั่นอย่าง Dragonball ทำให้บทอย่าง แคลร์ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักสำหรับนักแสดงสาวคนนี้
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ พูดถึงนักแสดงสาวลูกครึ่งเอเชียคนนี้ว่า "เจมี่ ชุง เป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น และผมก็เห็นเธอเตะต่อยมาแล้วในซีรี่ยทางโทรทัศน์เรื่อง Samurai Girl เธอเข้ามาอ่านบทนี้และก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนสาว ทั้งในเรื่องของหน้าตาและพลังงานในตัวได้อย่างทันที"
สำหรับ เจมี่ ชุง ความท้าทายของการรับบทเป็น แคลร์ ก็คือการที่ตัวละครนี้คือเปลี่ยนจากหญิงสาวที่บูชา เจสสิก้า กลายเป็นหญิงที่มีประสงค์ดีสำหรับทุกคน
เจมี่ ชุง เล่าถึงตัวละครที่เธอรับบทว่า "แคลร์ เป็นผู้หญิงที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเธตา ไพ สิ่งที่เธอต้องการคือการเป็น เจสสิก้า แต่เธอก็เริ่มที่จะปล่อยเลยตามเลย โดยในช่วงสุดท้ายของภาพยนตร์ คุณก็จะเห็นว่าเธอได้เปลี่ยนกลายเป็นผู้หญิงที่ดีขึ้น และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เล่นตัวละครที่มีพัฒนาการแบบนี้"
มาร์โก้ ฮาร์ชแมน
สำหรับบทของสาวปาร์ตี้ ชัค ตามแผนครั้งแรกแล้วจะต้องเป็นหญิงที่มีรูปร่างใหญ่และกล้าบ้าบิ่น แต่มันก็เปลี่ยนไปเลยเมื่อ มาร์โก้ ฮาร์ชแมน เดินทางมาถึง โดย จอร์ช สโตรลเบิร์ค เล่าว่า "เมื่อ มาร์โก้ เข้ามาทดสอบบท เธอก็ได้ตีความเป็นอีกอย่างนึงไปเลย ทั้งกลายเป็นคนผู้หญิงเซ็กซี่ที่มีอารมณ์ขันแบบเจ็บๆ ซึ่งต่างจากสิ่งที่เราจินตนาการเอาไว้ทุกอย่าง แต่มันก็ได้ผลมากกว่าเดิมเสียอีก"
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ เสริมว่า "มาร์โก้ เข้ามาและคว้าบทนี้ไปอย่างไร้ข้อกังขา เธอให้ความสนใจในส่วนของอารมณ์ขัน เธอชอบมุขที่ถูกเขียนอยู่ในบทภาพยนตร์ และเธอก็ทำให้พวกเราประทับใจในการทดสอบบท"
มาร์โก้ ฮาร์ชแมน เล่าถึงตัวละครที่เธอรับบทว่า "ฉันชอบตัวละครที่ชื่อ ชัค เพราะเธอมีค่านิยมส่วนตัว เธอเป็นคนกล้าและพูดจาแบบขวานผ่าซาก เธอเป็นคนจริงใจจนอาจถูกมองว่าหยาบคาบนิดหน่อย ซึ่งฉันก็ชอบตรงจุดนี้ ฉันชอบที่จะเล่นตลก และส่วนที่ตลกของตัวละครนี้ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดฉัน"
อาเดรียน่า พาทริช
ในการเลือกนักแสดงที่จะมารับบทเป็นสองพี่น้อง เมแกน และ แม็กกี้ ก็คือสองนักแสดงที่โด่งดังมีจากทางโทรทัศน์ โดยคนที่เข้ามารับบทเป็น เมแกน สาวชะตาขาดจากการแกล้งที่ผิดพลาดคือ อาเดรียน่า พาทริช ดาราจากเรียลลิตี้ยอดฮิต The Hills ซึ่งเธอก็สามารถสร้างตัวละครนี้ได้อย่างที่เธอพอใจ
อาเดรียน่า พาทริช เล่าถึงความหลงไหลในหนังสยองขวัญว่า "ฉันรักหนังสยองขวัญ The Exorcist เป็นหนังที่น่ากลัวที่สุดในโลก และฉันยังชอบหนังอย่าง Scream และ Jawbreaker ที่มีส่วนคล้ายกับ Sorority Row เหมือนกัน ซึ่งในที่สุดฉันก็ได้เล่นบทที่ตัวเองต้องสำลักและน้ำลายฟูมปาก มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในการเข้าถึงตัวละคร และเตรียมตัวเพื่อที่จะทำให้เธอดูสมจริงและน่าสะอิดสะเอียนที่สุดเท่าที่จะทำได้"
ไมค์ คารส์ พูดถึงนักแสดงสาวคนนี้ว่า "อาเดรียน่า ถือเป็นความเซอร์ไพรซ์สำหรับเรา เธอเป็นจากไฮโซสาวเรียลลิตี้เป็นนักสู้ เธอไม่เคยที่จะบ่นถึงสิ่งที่ต้องทำเลย โดยเราถ่ายทำในฉากที่เธอต้องใส่แค่ชุดชั้นในในช่วงเวลาอากาศที่หนาวสุดๆ เธอทำให้เราทุกคนรู้สึกประทับใจ"
แคโรไลน์ ดิอามอร์
สำหรับ แม็กกี้ นักแสดงและนางแบบ แคโรไลน์ ดิอามอร์ ไม่ได้ถูกเลือกเพียงเพราะว่า เธอมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับ อาเดรียน่า เพราะเธอเองก็มีราศีรวมถึงอารมณ์ชัน ที่ทำให้เราสามารถจดจำตัวละครอย่าง แม็กกี้ ได้
ไมค์ คารส์ พูดถึง แคโรไลน์ ว่า "พวกเราเห็นเธอจากซีรี่ย์เรื่อง Entourage พวกเรารู้สึกว่าเธอมีความเปรี้ยวที่สามารถต่อกรกับ เจสสิก้า ได้ แต่เธอก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกเห็นใจเธอได้ในเวลาเดียวกัน เธอได้ทำเหนือความคาดหมายของพวกเรา และสามารถสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาได้ด้วยรน้ำมือของเธอเอง"
แคร์รี ฟิชเชอร์
นักแสดงอาวุโสถูกตามล่าเพื่อให้มารับบทเป็นคุณครูประจำบ้าน มิส เครนชอว์ ตัวละครที่ให้ความรู้สึกวเหมือนกับว่าเธอเมาตลอดเวลา, เข้มงวด และเชี่ยวชาญในการใช้ปืนลูกซอง ซึ่งก็มีนักแสดงเพียงคนเดียวที่ทีมงานทุกคนต่างคิดถึง...... แคร์รี ฟิชเชอร์
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ เล่าว่า "พวกเราต้องการใครบางคนที่สามารถมอบความสนุก และยังสามารถเหวี่ยงปืนลูกซองไปมาและจัดการใครก็ได้ แต่พวกเราไม่เคยคิดว่าเธอจะให้ความสนใจในโปรเจ็คนี้"
ไมค์ คารส์ เองก็เล่าว่า "พวกเราไม่นึกเลยว่าจะสามารถได้ตัว แคร์รี มารับบทนี้ แต่เมื่อเธอได้พบกับ สจ๊วต เธอก็บอกว่า "ฉันชอบนายคนนี้...ตกลง ฉันจะรับเล่น" และพวกเราก็เริ่มการถ่ายทำกันทันที เธอเป็นคนสนุกสนานในการร่วมงานด้วย และพวกผู้หญิงทุกคนก็ต่างชื่นชอบและบูชาเธอ"
สำหรับ แคร์รี ฟิชเชอร์ ตัวละครนี้ได้ดึงดูดเธอในหลายเหตุผล นอกจากเรื่องที่ว่าเธอต้องแสดงกับนักแสดงสาวคราวลูก "ฉันอายุมากกว่าสาวๆเหล่านี้มากกว่า 25 ปี โดย มิส เครนชอว์ ที่ฉันเล่นเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตน่าสงสาร ฉันคิดว่าเธอเข้ามาดูแลสาวๆในบ้านเธตา ไพเพราะว่าเธอไม่มีลูก ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นตัวละครที่เท่มาก เธอสามารถใช้ปืนลูกซองแฝดได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งความจริงฉันเองก็เคยฝึกใช้มันอยู่แล้ว คุณเองก็น่าจะเคยเห็นฉันใช้มันในเรื่อง The Blue Brothers หรืออย่างปืนเลเซอร์ใน Star Wars นะ (หัวเราะ)"
สุดท้ายก็คือกลุ่มของแฟนหนุ่มของสาวๆ ก็มี จูเลี่ยน มอร์ริส ที่รับบทเป็น แอนดี้ แฟนหนุ่มของ แคสซิดี้ โดยเขาก็บอกว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ ที่กลุ่มนักแสดงหญิงเป็นแรงขับเคลื่อนหนังในหนังแอ็กชั่น "ผมว่าฮอลลิวู้ดไม่มีความกล้าพอที่จะใช้กลุ่มผู้หญิงล้วนในหนังแบบนี้ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้นักแสดงหญิงแต่ละคนก็จะมีทั้งบุคลิกส่วนตัวที่โดดเด่น พวกเธอเป็นตัวละครที่มีความสมบูรณ์รอบตัว และเป็นตัวละครที่ทั้งน่าสนใจและน่าค้นหา"
มุ่งหน้าสู่บ้านเธตา ไพ: การถ่ายทำ Sorority Row
เชื่อมความสัมพันธ์
เมื่อได้นักแสดงที่ต้องการหมดแล้ว ทีมงานก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำที่เมืองพิตส์เบิร์ก และการสร้างความสัมพันธ์ที่จะช่วยให้สาวๆแห่งบ้านเธตา ไพดูน่าเชื่อถือบทจนภาพยนตร์ ผู้กำกับ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ ทำให้แน่ใจว่าผู้หญิงทุกคนอาศัยอยู่ใกล้กันในตัวเมือง และนำพวกเธอทั้งหมดมาในการซ้อมแต่ละครั้งและทานอาหารเย็นร่วมกัน โดยหวังที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ไมค์ คารส์ เล่าถึงวิธีที่ผู้กำกับใช้ว่า "สจ๊วต เป็นคนที่มีไหวพริบมาก เขาให้ทีมนักแสดงมาเตรียมพร้อมก่อนซ้อมใหญ่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งก็กลายเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่เราทำ เพราะว่าพวกเธอได้ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนกับกลุ่มสาวในบ้านจริงๆ พวกเธอได้ไปพิพิธพันธ์และได้กินข้าวร่วมกัน ซึ่งพอจบอาทิตย์นั้นพวกเธอก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทแบบเดียวกับสาวบ้านเธตา ไพแล้ว"
นักแสดงสาวหลายคนก็สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ เช่น รูเมอร์ วิลลิส, บริอาน่า เอวิแกน และ มาร์โก้ ฮาร์ชแมน บ่อยครั้งที่พวกเธอจะรวมตัวกันอยู่ในห้องเปียโนของโรงแรม และร่วมกันร้องเพลงก่อนที่จะแยกย้ายไปพักผ่อน
เจมี่ ชุง เล่าถึงกลุ่มศิลปินสาวว่า “สาวๆพวกนี้มีความสามารถหลายอย่างจริงๆ ไม่เพียงแค่ บริอาน่า สามารถเต้นได้เท่านั้น เธอยังสามาระเล่นเปียโน, เล่นกีตาร์ และร้องเพลงได้ ส่วน รูเมอร์ และ มาร์โก้ เองก็เช่นกัน พวกเรามักจะไปรวมตัวในชั้นสองของโรงแรมช่วงกลางคืนเพื่อเล่นดนตรี ซึ่งมีแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ตั้งไว้อยู่ และพวกเราจะร้องเล่นกันอย่างครื้นเครงก่อนที่ยามจะเตะออกมา (หัวเราะ) มาร์โก้ เองก็มีเสียงร้องที่ฟังดูนุ่มมากๆเหมือน โนราห์ โจนส์ และ รูเมอร์ เองก็เคยศึกษาโอเปร่ามาก่อน... ซึ่งฉันคิดว่าคงช่วยในการที่เธอสามารถกรีดเสียงร้องได้ดีมั้ง (หัวเราะ)"
หาสถานที่เหมาะสม
ในขณะที่นักแสดงต่างเชื่อมความสัมพันธ์กันได้อย่างรวดเร็ว ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง บิล แบนเนอร์แมน ก็ได้ออกไปเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสมทั่วพิตส์เบิร์ก เพื่อทำให้ผู้กำกับ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ พอใจ โดยตัว แบนเนอร์แมน เองก็เคยทำงานในแถบนี้มาแล้ว โดยใช้พื้นที่แถบโรงเหมืองใกล้เมืองคาร์เนกี้ ที่จะใช้ในฉากที่สำคัญ
บิล แบนเนอร์แมน เล่าว่า "การหาเขตเหมืองไม่ใช่เรื่องที่ยากสำหรับผม ผมใช้เวลาประมาณหลายสัปดาห์ในการเสาะหา ดังนั้นเมื่อ สจ๊วต เห็นสถานที่ที่ผมเลือกเขาก็ดูจะพอใจมาก ดังงนั้นเราก็ต้องหาอีกสองฉากที่สำคัญต่อไป ก็คือบ้านเธตา ไพ และโรงถ่ายที่เราจะเอาไว้ใช้ถ่ายทำหลายฉาก ที่อยู่ภายในอาคารและเป็นออฟฟิศของพวกเรา"
บ้านในเขตโฮมสตีดสร้างตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเศรษฐีท้องถิ่นที่ใช้แม่น้ำโอไฮโอ้เป็นเส้นทางขนส่ง ซึ่งบ้านที่อยู่ในระแวกนั้นก็ได้นำมาใช้กลายเป็นสถานที่ของบ้านพักนักศึกษา
บิล แบนเนอร์แมน เล่าว่า "โฮมสตีดเป็นเขตที่มีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและพื้นที่รอบบริเวณที่เป็นป่าไม้ และเพื่อนบ้านที่สามารถทนเสียงจากการถ่ายทำช่วงกลางคืนได้หลายอาทิตย์ พวกเราพบสามแยกที่เหมาะสม ซึ่งมีบ้านหลังใหญที่สร้างมาแล้วเป็นร้อยปี และการที่เราต้องเผาส่วนหนึ่งของบ้านเธตา ไพ พวกเราก็เจอสถานที่ที่ผู้ออกแบบงานสร้างมั่นใจว่า จะสามารถเผาได้โดยไม่เกิดอันตรายกับสิ่งรอบข้าง"
ฟิลลิป ทูลิน ผู้ออกแบบงานสร้างที่มีผลงานมาแล้วมากมาย รวมถึงการทำงานในซีรี่ย์ยอดฮิตเช่น Bones และ The Starter Wife ซึ่งเขาก็ได้เห็นข้อดีในการใช้บ้านในเขตโฮมสตีดเพื่อเนรมิตให้มันเป็นบ้านเธตา ไพ
ฟิลลิป เล่าถึงไอเดียการสร้างว่า "บ้านเองก็เป็นเหมือนตัวละครตัวหนึ่ง และโชคดีที่เราพบบ้านเก่าหลังหนึ่งในพื้นที่ซึ่งเหมาะสมที่สุด แต่มันมีขนาดเล็กกว่าที่เราต้องการอยู่นิดหน่อย ดังนั้นเราจึงขอเจ้าของบ้านว่าต้องการต่อเติมเพื่อเชื่อมต่อออกไปทางหลังบ้าน และให้หลังบ้านมีสภาพคล้ายกับหน้าบ้าน และเรายังต่อเติมปีกขให้ยายออกไป เพื่อที่เราจะได้ใช้ถ่ายทำฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง"
ซึ่งทีมงานสร้างฉากก็ได้สร้างบ้านนักศึกษาในฝันขึ้นมา โดยมีทั้งบ่อน้ำร้อน, น้ำพุหินอ่อน และลานกว้างเอาไว้สำหรับปาร์ตี้ โดยมีการวางท่อไฟเชื่อมไว้บนหลังคาและหน้าต่าง เพื่อที่จะได้ใช้ในฉากสุดท้าย สำหรับทีมงานสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คที่ทำให้บ้านเกิดไฟลุกทั้งหลัง เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดไคลแม๊กซ์
เอฟเฟ็คสุดโหด
จิโน่ คร็อกเนลล์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมคอัพเอฟเฟ็ค ถูกจ้างมาเพื่อสร้างอวัยวะจำลองและเครื่องกล ที่จะทำให้การตายอันสยดสยองเกิดความสมจริงยิ่งขึ้น โดยเขาเป็นทีมงานอาวุโสของ KNB Effects Group โดยเขาและ สจ๊วต เฮนด์เลอร์ ได้ปรึกษากันก่อนว่า ทำยังไงพวกเขาถึงสร้างฉากการสังหาร ที่จะยกระดับความสยองขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้
จินโน่ เล่าว่า "พวกเราต้องการจะเก็บทุกอย่างให้ใกล้เคียงกับความสมจริงให้มากที่สุด อย่างที่เราเคยทำกันมาในหนังสยองขวัญยุค 80 เราใช้เมคอัพทำให้มีความรู้สึกเหมือนยุคก่อน พวกเราต้องการให้มันดูดิบและสมจริง แต่ในขณะเดียวกันเราก็สรรหาวิธีการฆ่า ที่จะทำให้ผู้ชมรุ่นใหม่ต้องแปลกใจและไม่เคยเห็นมาก่อน"
โดยการสร้างอวัยวะจำลองของแต่ละตัวละคร จะมีทั้งการสร้างหัวและช่วงไหล่ สำหรับขวดไวน์ที่จะถูกยัดปากเข้าไปในคอหอยอย่างทารุณ...และเหยียบซ้ำ ในขณะที่หุ่นตัวใช้ในการรับมีดที่แทงทะลุปาก ในขณะที่อีกตัวก็มีขวานจามเพื่อลอกหนังศีรษะ และหุ่นจำลองที่บรรเจิดที่สุดก็คือตัวที่ตายโดยปืนไฟ โดยนักแสดงจะต้องถูกยิงเจาะทะลุปากด้วยธนูไฟ ซึ่งจะติดอยู่ด้านในของคอหยขณะที่ไฟก็ยังโหมลุกอยู่
ท้าทายความหนาว
แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดของการถ่ายทำยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อการถ่ายทำเรื่องนี้มักเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน ซึ่งอุณหภูมิก็ลดต่ำกว่าศูนย์องศา โดย บิล แบนเนอร์แมน เล่าว่า "มันหนาวติดลบในช่วงกลางคืนจริงๆ และที่ทำให้แย่ไปกว่านั้น พวกสาวๆต้องถ่ายทำฉากที่เธออยู่ในชุดวาบหวิว แต่พวกเธอก็เป็นนักสู้อย่างแท้จริง ผมคิดว่าบางทีมันก็อาจเป็นเรื่องดี เพราะฉากที่ว่านี้ทุกคนต้องดูกลัวแบบสั่นเทา และพวกเธอก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ"
มาร์โก้ ฮาร์ชแมน เล่าว่า "โชคดีที่พวกเรามีทีมงานเครื่องแต่งกาย ที่เตรียมเสื้อกันหนาวและรองเท้าบู๊ทเอาไว้ให้ระหว่างพักเบรค แต่หลังจากที่มันผ่านไปแบบนี้สามคืนติดต่อกัน ฉันก็ไม่สามารถควบคุมการสั่นของตัวเองได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีในการแสดง เพราะฉันไม่ต้องแกล้งสั่นเลย (หัวเราะ)"
บริอาน่า เอวิแกน เสริมถึงความหนาวระดับเทพว่า "พวกเรามีเต้นท์ให้ความอุ่นและฮีทเตอร์ เรามีแม้กระทั่งฮีทเตอร์สำหรับมือและเท้าโดยเฉพาะ พวกเราต้องเอาแผ่นความร้อนแปะไว้ที่หลัง, ที่ท้อง และในรองเท้าของเรา ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ทรมานเอามากๆ"
ลีอา ปิเปส ก็ยังได้จำได้ถึงประสบการณ์ความเย็นนี้ได้ดี "อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศา และพวกเราก็อยู่ในชุดชั้นในวิคตอเรีย ซีเครท ทำให้คำปฏิญาณของพวกเรากลายเป็น "พวกเรามีจิตใจแบบทหาร พวกเราต้องทำได้" เพราะว่าคุณไม่สามารถบ่นถึงสภาพอากาศได้เมื่อเป็นทหาร อย่างไรก็ตามฉันคิดว่า อาเดรียน่า ต้องรับบทหนักที่สุด เพราะเธอต้องนอนลงบนพื้นและ ห้ามขยับเขยื้อน บนพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยเลือดปลอม แต่เธอก็ไม่เคยบ่นออกมาเลย"
อาเดรียน่า พาทริช ดาราจาก The Hills ซีรี่ย์ทาง MTV ได้บินมายังพิตส์เบิร์ก หลังจากถ่ายทำ Into The Blue 2 ในฮาวายที่มีสภาพอากาศอบอุ่นตลอดปี โดยคืนแรกนั้น เธอก็ต้องถ่ายทำในฉากที่เธอนอนเกือบเปลือย อยู่บนพื้นดินในสภาพอากาศหนาวจัดทันที
เจมี่ ชุง เล่าถึงความแข็งแกร่งของ อาเดรียน่า ว่า "ฉันคงต้องก้มหัวให้กับ อาเดรียน่า เพราะว่าวันที่เธอมาถ่ายทำวันแรกนั้น เธอต้องเจอกับสภาพอากาศอันเลวร้ายโดยที่เธอแทบไม่สวมอะไรเลย ฉันว่าพวกเราคงต้องมอบเหรียญทองให้เธอจริงๆ"
รูเมอร์ วิลลิส ก็พูดถึง อาเดรียน่า ว่า "เธอเป็นหญิงแกร่งจริงๆ อาเดรียน่า ใส่ชุดน้อยชิ้นที่สุดในหมู่พวกเรา และต้องมีเลือดมากมายปกคลุมตัวอยู่ เธอทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจมากเพราะเธอไม่เคยเปิดปากบ่นเลยสักครั้ง"
สำหรับ อาเดรียน่า พาทริช ฉากที่ว่านี้เป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอ ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม "ฉันบินไปที่พิตส์เบิร์ก และไม่รู้เลยว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไร ฉันต้องสวมชุดบางๆสีขาวนี้และใส่ส้นสูง ตลอดทั้งคืนฉันต้องถูกลากแบบหมดสติไปวางไว้บนพื้นดิน ถูกห่อหุ้มด้วยดินโคลนและเลือดปลอม แต่เราทุกคนต่างก็ทำใจดีสู้เสือกันทุกคน และมันทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กันเลยตั้งแต่วันแรก"
หลังจากการถ่ายทำในเหมืองร้างเสร็จสิ้นแล้ว ทีมงานก็ได้ย้ายไปถ่ายทำในโรงงานร้างแห่งหนึ่ง ในช่วงสุดท้ายของการถ่ายทำฉากภายใน ถึงแม้ว่าอาคารแห่งนี้จะสามารถเป็นได้ทั้งสำนักงานชั่วคราวและโรงอาหาร แต่มันก็ยังมีความเย็นยะเยือกที่ไม่ต่างแตกต่างจากข้างนอกเลย
มาร์โก้ ฮาร์ชแมน เล่าถึงสภาพอากาศภายในโรงงานว่า "เราคิดว่าเมื่อเราได้เข้ามาถ่ายทำในตัวอาคาร มันก็น่าจะอุ่นขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่ามันหนาวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก พวกเราทุกคนจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "ห้องแช่เนื้อ" มีวันหนึ่งหิมะก็ตกอยู่ด้านนอก และฉันก็รู้สึกว่าข้างในนั้นยิ่งหนาวกว่าซะอีก พวกเราทุกคนต้องสวมเสื้อกันหนาวที่หนาที่สุด ที่คลุมชุดเซ็กซี่ที่เราเอาไว้ใช้ในการถ่ายทำ"
ฉากสตันท์
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของเรื่องก็คือฉากสตันท์ ซึ่งส่วนมากแล้วนักแสดงในเรื่องก็จะแสดงด้วยตัวเอง โดย ไบรอัน สไมธ ผู้ออกแบบฉากสตันท์ ที่เคยเป็นหนึ่งในสตันท์ของภาพยนตร์เรื่อง The Bourne Ultimatum ได้เล่าถึงความเป็นมืออาชีพของพวกเธอว่า "ผมรู้สึกโชคดีที่นักแสดงสาวเหล่านี้ มีความรู้ในการถ่ายทำฉากสตันท์ บริอาน่า เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง และเธอเองก็มีพื้นฐานจากการเต้นอยู่แล้ว เจมี่ ชุง ก็เป็นนักแสดงแอ็คชั่นโดยกำเนิดอยู่แล้ว ส่วน รูเมอร์ นั้นก็ได้เห็นฉากแอ็กชั่นในหนังของพ่อเธอในกองถ่ายหนังมาเยอะเช่นกัน"
โดยฉากสตันท์ที่ท้าทายที่สุดก็คือ ฉากที่ต้องพวกเธอต้องแสดงใกล้กับไฟ ซึ่ง ไบรอัน เองก็ได้มีการเตรียมความพร้อม เพื่อการทำให้แน่ใจว่านักแสดงจะต้องไม่ได้รับอันตรายใดๆ
เขาเล่าว่า "มีหลายสิ่งที่ต้องคำนวนในการถ่ายทำฉากที่เกี่ยวกับไฟ เช่นชุดที่นักแสดงใส่สามารถติดไฟได้ง่ายไหม แล้วใกล้ไฟแค่ไหนถึงเรียกว่าเป็นอันตราย แล้วยังมีเรื่องสเปรย์ฉีดผมอีกล่ะ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แต่ละแผนกจะต้องเข้ามาร่วมมือกันคิด เพราะว่าถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาครั้งเดียว มันก็อาจหมายถึงชีวิตของคนได้เลยทีเดียว"
เมื่อการถ่ายทำจบลง ผู้อำนวยการสร้าง ไมค์ คารส์ ก็รู้สึกได้ว่า ภาพยนตร์ของพวกเขาจะต้องสามารถเข้าถึงกับผู้คนวงกว้างได้อย่างแน่นอน
ไมค์ คารส์ เล่าว่า "มันทั้งน่ากลัว มันทั้งตลก สาวๆทุกคนก็เซ็กซี่ นี้เป็นหนังสยองขวัญที่แตกต่างออกไปเลย และมันก็ไม่ใช่แค่หนังเฉพาะกลุ่ม แต่มันยังมีความกดดันที่มอบให้กับผู้ชมวงกว้างได้อีกด้วย จุดศูนย์กลางของเรื่องจะทำให้คุณมีอารมณ์ร่วมและรู้สึกจดจำ แต่ละตัวละครจะสามารถเชื่อมถึงคนดูได้ทางใดทางหนึ่ง และมันก็ยังทำให้เราต้องนั่งเดาด้วยว่าใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้านนี้ และคุณก็จะคาดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วฆาตกรคือใคร"
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ สรุปถึงภาพยนตร์ที่เขาได้กำกับว่า "Sorority Row ได้วิจารณ์ถึงเรื่องของวัฒนธรรมของสิ่งที่ผู้หญิงคิดในยุคปัจจุบัน พวกเรายังทำให้แน่ใจว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องสร้างบุคลิกภาพให้กับผู้หญิงเหล่านี้ พอๆกับการที่มันเป็นหนังสยองขวัญเชือดสยอง ผมหวังว่ามันจะสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทุกกลุ่ม พวกเราลงแรงกับมันอย่างเต็มที่ และผมก็คิดว่าทุกวินาทีที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากสำหรับผม"
ทีมนักแสดง
บริอาน่า เอวิแกน (รับบทเป็น แคสซิดี้)
ผลงาน >>> Step Up 2: The Street, S. Darko
รูเมอร์ วิลลิส (รับบทเป็น แอลลี)
ผลงาน >>> The House Bunny, Hostage
เจมี่ ชุง (รับบทเป็น แคลร์)
ผลงาน >>> Dragonball Evolution, Samurai Girl
ลีอา ปิเปส (รับบทเป็น เจสสิก้า)
ผลงาน >>> Terminator: The Sarah Connor Chronicles, Life Is Wild
อาเดรียน่า พาทริช (รับบทเป็น เมแกน)
ผลงาน >>> The Hills, Into the Blue 2: The Reef
แคร์รี่ ฟิชเชอร์ (รับบทเป็น มิส เครนชอว์)
ผลงาน >>> Star Wars Trilogy, The Blues Brothers
ทีมผู้สร้าง
สจ๊วต เฮนด์เลอร์ (ผู้กำกับ)
ผลงาน >>> Whisper
ไมค์ คารส์ (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน >>> Good Luck Chuck, First Daughter
จอร์ช สโตรลเบิร์ค (ผู้เขียนบท)
ผลงาน >>> Good Luck Chuck, Kids in America
เคน เซง (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน >>> Quarantine, Obsessed
เอลเลียต กรีนเบิร์ค (ผู้ตัดต่อภาพ)
ผลงาน >>> Quarantine, Red Eye
ฟิลลิป ทูลิน (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> Dangerous Minds, Up Close and Personal
โมน่า เมย์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ผลงาน >>> Clueless, Enchanted, The House Bunny
จิโน่ คร็อกเนลล์ (ผู้ดูแลเมคอัพเอฟเฟ็ค)
ผลงาน >>> Kill Bill: Vol. 2, From Dusk Til Dawn, Scream 2,