กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--กทม.
ข้าราชการ และลูกจ้างกทม. กว่า 1 แสนคน พร้อมใจไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว หันใช้ระบบขนส่งมวลชน เป็น หน่วยงานต้นแบบ จุดประกาย ชวนคนกรุงใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว มุ่งลดใช้พลังงาน แก้ปัญหาจราจร ภายใต้แนวคิด “การขนส่งยั่งยืน” กทม. พร้อมผลักดันโครงข่ายการเดินทางแบบบูรณาการ ระยะทางรวม 133.6 กิโลเมตร ส่งประชาชนถึงที่หมายใน 1 ชั่วโมง
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม Bangkok Car Free Day 2009 โดยมี ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายมงคล วิจะระณะ รองประธานชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย และ ผศ.ดร.สุชาติ ทวีพรปฐมกุล ผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพร่วมแถลง ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกทม.
กรุงเทพมหานคร ร่วมกับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และชมรมจักรยาน เพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม Bangkok Car Free Day 2009 ขึ้น ในวันที่ 22 ก.ย. 52 โดยข้าราชการและลูกจ้างกทม. กว่า 100,000 คน ร่วมมือร่วมใจไม่นำรถยนต์ส่วนตัวมาทำงาน ใช้วิธี “ทางเดียวกันไปด้วยกัน” (Car Pool) หรือใช้บริการระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น อาทิ รถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง เรือโดยสาร และจักรยาน เพื่อเป็นหน่วยงานต้นแบบ จุดประกายให้คนกรุงเทพฯ ตระหนักและเห็นความสำคัญของการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางด้วยการหันมาใช้บริการระบบขนส่งมวลชนแทน เพื่อลดการใช้พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน รวมถึงช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร ประชาชนเดินทางถึงจุดหมายด้วยความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด ปลอดภัย ซึ่งในวันที่ 20 ก.ย. 52 กรุงเทพมหานคร ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “ลดใช้รถยนต์ ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม” โดยมีรถจักรยานกว่า 1,000 คัน ร่วมแปรขบวน ณ บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และวันที่ 21 ก.ย. 52 จะขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานราชการ องค์กร และโรงเรียนต่างๆ ในย่านที่มีการจราจรหนาแน่น เช่น สาทร สุขุมวิท สามเสน ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาเดินทางด้วยรถขนส่งสาธารณะ ซึ่งระหว่างวันที่ 20 — 22 ก.ย. 52 ประชาชนที่เดินทางด้วยรถจักรยาน สามารถใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ในโบกี้ที่ 3 ได้ฟรี หากนำรถจักรยานขึ้นไปในสถานีด้วย
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีประชากรอาศัยอยู่ร่วม 10 ล้านคน มีความต้องการเดินทางสูงถึง 17 ล้านเที่ยวต่อวัน มีจำนวนรถยนต์กับรถจักรยานยนต์รวมราว 5 ล้านคัน ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนมีอัตราการเคลื่อนที่เพียง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดการณ์ว่าใน พ.ศ. 2564 ความต้องการเดินทางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเพิ่มขึ้นเป็น 26.2 ล้านเที่ยว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64 กรุงเทพมหานครมีความตั้งใจ และมุ่งมั่นเต็มที่ในการดูแลแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดภายใต้แนวคิด “การขนส่งยั่งยืน” (Sustainable Transportion) ใน 3 แนวทาง ได้แก่ “การหลีกเลี่ยง” ความจำเป็นในการเดินทางและลดความจำเป็นในการเดินทางโดยใช้มาตรการผังเมือง “การเปลี่ยนแปลง” รูปแบบการเดินทางโดยใช้ระบบการขนส่งสาธารณะเป็นหลัก ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และ “การปรับปรุง” ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องดำเนินการทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งสาธารณะ เลือกรูปแบบที่เหมาะสมของยานพาหนะในการเดินทาง และใช้พลังงานทดแทน รวมถึงมีแนวทางในการลดพื้นที่ ลดการให้สิทธิพิเศษแก่รถยนต์ เพิ่มพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า ทางจักรยาน และระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้รูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะอย่างยั่งยืน นอกจากนี้พร้อมผลักดันโครงข่ายการเดินทางด้วยการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งระบบรถไฟฟ้า รถเมล์ด่วนพิเศษ BRT และรถไฟฟ้าขนาดเบา (Light Rail) ระยะทางรวม 133.6 กิโลเมตร เพื่อให้ประชาชนเดินทางถึงที่หมายได้ในเวลา 1 ชั่วโมง
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรุงเทพมหานครมีนโยบายเพิ่มเส้นทางจักรยานอีก 20 เส้นทางในพื้นที่ชั้นในจากเดิมที่มีอยู่ 9 เส้นทาง ซึ่งเริ่มดำเนินการได้ต้นปีงบประมาณ 53 และจะเพิ่มให้ได้ 5—10 เส้นทาง รวมถึงการสร้างจุดจอดรถจักรยานเพิ่มโดยเฉพาะแหล่งชุมชน โดยมอบหมายให้สำนักจราจรและขนส่งสำรวจเส้นทางและจุดจอดที่เหมาะสมภายในสิ้นปีนี้ สำหรับปริมาณการใช้รถจักรยานบริเวณถนนสาทรมีจำนวนเพิ่มขึ้นแต่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ คนไทยยังไม่นิยมใช้จักรยานในการเดินทาง กรุงเทพมหานครจะเร่งดำเนินการด้านความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนหันมาเดินทางด้วยจักรยานมากขึ้น