กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--ซีพีเอฟ
ซีพีเอฟรุกเพิ่มฐานผลิตในลาว มั่นใจมีศักยภาพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในภูมิภาค แจงยอดขายงวด 9 เดือน 91,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 % พร้อมประกาศจ่ายปันผล จากกำไรไตรมาส 3 จำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (8 พฤศจิกายน 2549) ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติการจัดตั้ง C.P. Laos Company Limited ขึ้นภายในปีนี้ เพื่อดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ในประเทศสาธารณรับประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยใช้เงินลงทุนครั้งนี้ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 114 ล้านบาท (คำนวณด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549) โดยจะลงทุนผ่านและใช้เงินทุนของ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อีสาน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ซีพีเอฟถือหุ้นทางตรงในสัดส่วนร้อยละ 99.61
การขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศเป็นยุทธศาสต์ที่ซีพีเอฟดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการนำธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญไปลงทุนยังประเทศต่างๆ โดยพิจารณาจากศักยภาพและโอกาสที่เหมาะสมในการเติบโตของธุรกิจ
“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ โดยประเทศแรกที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน คือ การลงทุนด้านธุรกิจสัตว์บกในประเทศตุรกี และตามมาด้วยการลงทุนในธุรกิจสัตว์น้ำในสาธารณรัฐประชาชนจีน การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศอินเดีย การลงทุนในธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศมาเลเซีย และเมื่อกลางปีที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทก็ได้มีมติอนุมัติให้ซีพีเอฟเข้าลงทุนในธุรกิจสัตว์บกที่ประเทศรัสเซีย การลงทุนในต่างประเทศที่ผ่านมาเราก็ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำในจีน อินเดีย และมาเลเซีย ก็ให้ผลตอบแทนที่ดี ลาวเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ทีมงานของซีพีเอฟเข้าไปศึกษาแล้วเห็นว่า มีศักยภาพในการทำธุรกิจ เราจึงตัดสินใจเข้าลงทุน” นายอดิเรกกล่าว
นอกจากนี้ยังได้รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2549 ด้วยยอดขายจำนวน 91,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 10 โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่ม จากธุรกิจสัตว์น้ำในต่างประเทศ ที่เติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งในประเทศอีนเดีย จีน และ มาเลเซีย ส่วนธุรกิจสัตว์บกโดยรวมในปีนี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะราคาเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายในประเทศที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระยะเวลาเดียวกันกับปีก่อน
สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทสำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี2549 จำนวน 2,254 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 63 จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากกำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงจากปีก่อนที่ระดับร้อยละ 18 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 14 จากระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายในประเทศของกิจการสัตว์บกในประเทศไทยและในประเทศตุรกี อยู่ในระดับต่ำกว่าระยะเวลาเดียวกันของปี 2548 นอกจากนี้ ในปีก่อนบริษัทมีการบันทึก กำไรจากการขายเงินลงทุนและทรัพย์สินจำนวน 964 ล้านบาท
ซีพีเอฟ แจงยอดขายไตรมาส 3 จำนวน 32,584 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากระยะเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมา ด้วยกำไรสุทธิ 681 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 67 จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักที่ทำให้อัตราการทำกำไรลดลง มาจากภาวะราคาเนื้อสัตว์ในประเทศ เช่น ราคาไก่ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
นายอดิเรก กล่าวถึงภาวะราคาไก่หน้าฟาร์มว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี้ เพิ่งเห็นการปรับตัวของระดับราคาที่ดีขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 30-32 บาทต่อกิโลกรัม และราคาไก่ที่ประเทศตุรกีก็เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปรกติ ดังนั้น น่าจะส่งผลให้อัตราการทำกำไรของซีพีเอฟในไตรมาส 4 นี้ดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2549 จำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้นในวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม ศกนี้ ซึ่งจะทำการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 (ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2549) ซึ่งเมื่อรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ในปีนี้ ซีพีเอฟได้จ่ายเงินปันผลรวมสำหรับผลประกอบการ 3 ไตรมาส จำนวน 0.17 บาทต่อหุ้น
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
สำนักสารนิเทศ ซีพีเอฟ
โทรศัพท์ 0-2625-7344-5, 0-2631-0641, 0-2638-2713