กรุงเทพฯ--22 ก.ย.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.[1] (ระบบ Government Finance Statistics : GFS) ในช่วง 9 เดือนแรก (ตุลาคม 2551-มิถุนายน 2552) ของปีงบประมาณ 2552 ภาครัฐบาล (รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[2]) อัดฉีดเงินสุทธิเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 251,408 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของ GDP [3] ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่ขาดดุลร้อยละ 0.2 ของ GDP ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของนโยบายการคลังในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นไปตามเป้าหมายการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานของภาครัฐบาลในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2552
1.1 รายได้ภาครัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 664,020 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 7.5 ของ GDP) ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 34,078 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 ทั้งนี้เนื่องจากการจัดเก็บภาษีส่วนใหญ่ของรัฐบาลลดลงได้ส่งผลให้รายได้รัฐบาลและ อปท. ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 34,395 และ 10,106 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.7 และ 9.7 ตามลำดับ ส่วนบัญชีเงินนอกงบประมาณ(กองทุนเงินนอกงบประมาณ และเงินฝากนอกงบประมาณ) มีรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 10,423 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.7 เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนอ้อยและน้ำตาล กองทุนอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนหลักประกันสุขภาพมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามลำดับ
1.2 รายจ่ายของภาครัฐบาล (รวมการให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง มีจำนวน 570,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 17,794 ล้านบาทหรือร้อยละ 3.2 เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นโดยมีจำนวน 437,357 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 25,600 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.2 ขณะที่ อปท. คาดว่าจะมีรายจ่ายจำนวน 82,352 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.0 และรายจ่ายจากบัญชีเงินนอกงบประมาณและเงินให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาลรวม 49,800 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 9.4 ซึ่งมีสาเหตุหลักจากรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงร ส่วนรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศที่เบิกจ่ายจำนวน 1,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 759 ล้านบาท
1.3 ดุลการคลังภาครัฐบาล จากการที่รายได้สูงกว่ารายจ่ายทำให้ภาครัฐบาลเกินดุลการคลังจำนวน 93,374 ล้านบาท เกินดุลลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่เกินดุลจำนวน 144,379 ล้านบาท สำหรับดุลการคลังเบื้องต้นของรัฐบาล (Primary Balance) ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2552 ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลและทิศทางของนโยบายการคลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง (ไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย และการชำระคืนต้นเงินกู้) เกินดุลทั้งสิ้น 58,925.2 ล้านบาท(คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของ GDP) ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วเกินดุล 119,544 ล้านบาท(คิดเป็นร้อยละ1.3 ของ GDP)
[1] ระบบ สศค. : ระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง หรือ Government Finance Statistics (GFS) เป็นระบบสถิติที่รวบรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมด โดยครอบคลุมการใช้จ่ายตามระบบงบประมาณ เงินฝากนอกงบประมาณ กองทุนหมุนเวียนนอกงบประมาณ เงินกู้ต่างประเทศ และเงินช่วยเหลือต่างประเทศ
[2] เป็นการประมาณการดุลการคลังโดยใช้ข้อมูลสิทธิเรียกร้องจาก อปท. ในระบบธนาคาร (Net Claims of Banking System on Local Government)
[3] คาดการณ์ GDP ปีงบประมาณ 2552 และ GDP ปีงบประมาณ 2551 เท่ากับ 8,786.29 และ 9,104.96 พันล้านบาท ตามลำดับ
2. ฐานะการคลังตามระบบ สศค. 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552
2.1 รายได้ภาครัฐบาล มีจำนวนทั้งสิ้น 1,592,156 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.0 ของ GDP (ระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 18.6 ต่อ GDP) และลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 104,599 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.2 ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงทั้งในส่วนของรายได้รัฐบาล และอปท. ดังนี้
1) รัฐบาลมีรายได้ 1,052,699 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.9 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 12.9 ของ GDP) และลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 10.3 ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ 3 กรมหลัก (กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร) และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน
2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ 255,788 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.9 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 3.0 ของ GDP) และลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.7 ทั้งนี้ เนื่องจากเงินอุดหนุนและเงินที่รัฐบาลแบ่งให้ อปท. ลดลง
3) บัญชีเงินนอกงบประมาณซึ่งประกอบด้วยกองทุนนอกงบประมาณและเงินฝากนอกงบประมาณ มีรายได้รวม 283,699 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของ GDP) และสูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.7 เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายได้จากการนำส่งรายได้เข้ากองทุนจากภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น และกองทุนอ้อยและน้ำตาลมีรายได้จากกาจำหน่ายน้ำตาลเพิ่มขึ้น
2.2 รายจ่ายของภาครัฐบาล (รวมการให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,834,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.4 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายรัฐบาล และรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ ดังนี้
1) รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น 1,384,148 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.7 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 13.5 ของ GDP) และสูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 157,787 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.9
2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น 225,673 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.6 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 2.9 ของ GDP) ต่ำกว่าปีที่แล้ว 36,030 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13.8
3) เงินกู้ต่างประเทศ มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 5,600 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP สูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 4,959 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้มีการเร่งการเบิกจ่ายเงินกู้ (SAL) ให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2552
4) บัญชีเงินนอกงบประมาณ (รวมรายจ่ายและเงินให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) จำนวน 228,143 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.6 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP) และเบิกจ่ายใกล้เคียงกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 0.1)
2.3 ดุลการคลังภาครัฐบาล ขาดดุลการคลังจำนวน 251,408 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 2.8 ต่อ GDP) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีที่แล้วที่ขาดดุลจำนวน 22,419 ล้านบาท สำหรับดุลการคลังเบื้องต้น (ไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย และการชำระคืนต้นเงินกู้) ของรัฐบาล (Primary Balance) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางนโยบายการคลังของรัฐบาลขาดดุลรวมทั้งสิ้น 283,530 ล้านบาท(คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของ GDP) ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 36,993 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP)
สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3584