เกี่ยวกับนักแสดง SURROGATES

ข่าวบันเทิง Wednesday September 23, 2009 11:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 ก.ย.--วอล์ท ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โมชั่น พิคเจอร์ส เกี่ยวกับนักแสดง บรูซ วิลลิส (เจ้าหน้าที่ FBI เกรียร์) ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถหลากหลายอย่างเหลือเชื่อตลอดระยะเวลาการเป็นนักแสดง ที่ได้รับบทบาทแตกต่างกันมากมาย เช่นบทนักมวยอาชีพในภาพยนตร์โดยเควนติน ทรันติโนเรื่อง “Pulp Fiction” (ที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์), บทผู้รับเหมาจอมเจ้าชู้ในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต เบนตันเรื่อง “Nobody’s Fool,” บทนักเดินทางข้ามเวลาผู้กล้าหาญในภาพยนตร์โดยเทอร์รี กิลเลียมเรื่อง “12 Monkeys,” บทอดีตทหารสงครามเวียดนามผู้ทุกข์ทนในภาพยนตร์โดยนอร์แมน ยิววิสันเรื่อง “In Country,” นักจิตวิทยาเด็กผู้อารีในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์โดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเรื่อง “The Sixth Sense” (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ด) และบทที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา นักสืบจอห์น แม็คเคลนในแฟรนไชส์ “Die Hard” หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรการละครของมองท์แคลร์ สเตท คอลเลจ เด็กหนุ่มชาวนิวเจอร์ซีย์คนนี้ก็ได้ฝึกฝนฝีมือด้านการแสดงของเขาด้วยการเล่นละครเวทีและโฆษณาโทรทัศน์นับไม่ถ้วน ก่อนที่เขาจะได้รับบทนำในละครเวทีดรามาปี 1984 ของแซม เชพเพิร์ดเรื่อง “Fool for Love” ซึ่งถูกจัดแสดงในฐานะละครออฟบรอดเวย์ถึง 100 รอบ หลังจากนั้น วิลลิสก็กลายเป็นดาราดังระดับโลก และได้รับรางวัลด้านการแสดงหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำ จากบทนักสืบเดวิด แอดดิสันในซีรีส์ฮิตเรื่อง “Moonlighting” ซึ่งเป็นบทที่เขาเอาชนะคู่แข่งกว่า 3,000 คนคว้าบทมาครองได้สำเร็จ ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ได้เปิดตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยการแสดงประกบคิม บาซิงเจอร์ในโรแมนติกคอเมดีโดยเบลค เอ็ดเวิร์ดส์เรื่อง “Blind Date” ในปี 1988 เขาได้รับบทจอห์น แม็คเคลนเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Die Hard” หนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของปีนั้น และเขาก็ได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในภาคต่ออีกสามภาคได้แก่ “Die Hard: Die Harder” (1990), “Die Hard: With a Vengeance” (ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายทั่วโลกในปี 1995) และ “Live Free, Die Hard” (หนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดประจำซัมเมอร์ปี 2007) ล่าสุด วิลลิสเพิ่งเสร็จสิ้นจากการแสดงประกบเทรซีย์ มอร์แกนในภาพยนตร์แอ็กชัน/คอเมดีที่กำกับโดยเควิน สมิธเรื่อง “A Couple of Dicks” นอกเหนือจากผลงานหน้ากล้องของเขาแล้ว วิลลิสยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Hostage” และ “The Whole Nine Yards” และควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Breakfast of Champions” ที่ดัดแปลงจากนิยายขายดีโดยเคิร์ท วอนน์กัทอีกด้วย วิลลิสร่วมกับเดวิด วิลลิส น้องชายและสตีเฟน อีดส์ หุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา ก่อตั้งบริษัทวิลลิส บราเธอร์ส ฟิล์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชันขึ้นในลอสแองเจลิส นอกจากนั้นแล้ว วิลลิสยังได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับละครเวทีอีกด้วย ในปี 1997 เขาได้ร่วมก่อตั้ง อะ คัมปะนี ออฟ ฟูลส์ ซึ่งเป็นคณะละครที่ไม่แสวงผลกำไร และมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและดำรงไว้ซึ่งงานละครในวู้ด ริเวอร์ วัลลีย์แห่งไอดาโฮ และทั่วทั้งอเมริกา เขาได้นำแสดงและกำกับละครตลกร้ายของแซม เชพเพิร์ดเรื่อง “True West” ที่ลิเบอร์ตี้ เธียเตอร์ในเฮลลีย์, ไอดาโฮ ละครเรื่องนี้ ซึ่งเล่าเรื่องความสัมพันธ์ร้าวฉานระหว่างสองพี่น้อง ได้ออกอากาศทางโชว์ไทม์ และอุทิศให้กับโรเบิร์ต น้องชายผู้ล่วงลับของวิลลิส วิลลิส ซึ่งเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ได้บันทึกอัลบัมโมทาวน์ปี 1986 ในชื่อ “The Return of Bruno” ซึ่งทำยอดขายได้ถึงระดับแพลตินัมและมีเพลง “Respect Yourself” ติดอันดับห้าในบิลบอร์ดชาร์ท สามปีให้หลัง เขาได้บันทึกเสียงอัลบัมชุดที่สอง “If It Don’t Kill You, It Just Makes You Stronger” ในปี 2002 เขาได้ออกทัวร์คลับทั่วอเมริกากับวงดนตรีของเขา บรูซ วิลลิส แอนด์ เดอะ บลูส์ แบนด์ และเขายังได้เดินทางไปอิรักเพื่อเล่นดนตรีให้กับทหารอเมริกันฟังอีกด้วย ราดาห์ มิทเชล (เจ้าหน้าที่ FBI ปีเตอร์ส) เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งนำแสดงในภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์ส คลาสสิกส์เรื่อง “The Children of Huang Shi” ประกบโจนาธาน รีส เมเยอร์ส และโจวเหวินฟะ และ “Henry Poole Is Here” โดยผู้กำกับมาร์ค เพลลิงตัน เธอได้นำแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีโดยเลคชอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง “Feast of Love” ประกบมอร์แกน ฟรีแมนและเกร็ก คินเนียร์ นอกจากนี้ มิทเชลยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์อีกหลายเรื่องเช่น “Silent Hill” ที่เธอแสดงประกบฌอน บีน, “Finding Neverland” ที่เธอแสดงประกบจอห์นนี เดปป์, เคท วินสเล็ตและดัสติน ฮอฟแมน, “Man on Fire” ที่เธอแสดงประกบเดนเซล วอชิงตัน, ภาพยนตร์แปลกใหม่เรื่อง “Phone Booth” ที่เธอแสดงประกบโคลิน เฟอร์เรลและ “Pitch Black” ที่นำแสดงโดยวิน ดีเซล หลังจากนี้ มิทเชลจะแสดงประกบทิโมธี โอลีแฟนท์ในภาพยนตร์เรื่อง “The Crazies” ที่จะเปิดตัวในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2010 มิทเชล เดิมมาจากออสเตรเลีย ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในซานตา มอนิกา, แคลิฟอร์เนีย โรซามุนด์ ไพค์ (แม็กกี้ เกรียร์) เริ่มต้นอาชีพนักแสดงเมื่ออายุได้ 16 ปีเมื่อเธอค้นพบความรักในการแสดงละครเวทีของเธอระหว่างที่เธอรับบท “จูเลียต” ในละครเรื่อง “Romeo and Juliet” หลังจากที่ได้แสดงละครเวทีมากมายหลายเรื่องเช่น “The Taming of the Shrew” และ “The Libertine” ในที่สุด เธอก็ได้แสดงในซีรีส์บีบีซีเป็นครั้งแรกใน “Wives and Daughters” ที่เธอแสดงประกบไมเคิล แกมบอน และเธอก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามจากการแสดงของเธอในเรื่องนั้น ผลงานบล็อกบัสเตอร์เรื่องแรกของไพค์คือภาพยนตร์เจมส์บอนด์ของเอ็มจีเอ็มเรื่อง “Die Another Day” ที่เธอได้แสดงประกบฮัลลี เบอร์รีและเพียร์ซ บรอสแนน หลังจากบอนด์แล้ว ไพค์ก็ได้หวนคืนสู่เวทีละครลอนดอนอีกครั้งด้วยการนำแสดงในละครโปรดักชันของรอยัล คอร์ท เธียเตอร์เรื่อง “Hitchcock Blonde” ที่กำกับโดยเทอร์รี จอห์นสัน ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของละครเรื่องนี้ทำให้มันได้ถูกจัดแสดงที่ลิริค เธียเตอร์ในเวสต์เอนด์ ซึ่งนับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญเลยทีเดียว ในปี 2004 เธอเริ่มต้นถ่ายทำเวอร์ชันภาพยนตร์ของละครเรื่อง “The Libertine” ของลอว์เรนซ์ ดันมอร์ ประกบจอห์นนี เดปป์ ในบทของอลิซาเบธ มาเล็ต ชายาของเอิร์ลแห่งโรเชสเตอร์ ซึ่งแสดงโดยเดปป์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดยจอห์น มัลโควิชและซาแมนธา มอร์ตัน การแสดงอันยอดเยี่ยมของไพค์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เธอได้รับรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในปี 2005 หลังจากนั้น ไพค์ก็ได้แสดงประกบเคียรา ไนท์ลีย์, เบรนดา เบลธลินและจูดี้ เดนช์ในภาพยนตร์โฟกัส ฟีเจอร์สที่ดัดแปลงจากนิยายคลาสสิกของเจน ออสเตนเรื่อง “Pride & Prejudice” ที่กำกับโดยโจ ไรท์ ไพค์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามและได้รับรางวัลลอนดอน ฟิล์ม คริติกส์ เซอร์เคิล อวอร์ดปี 2006 จากการรับบทเจน เบนเน็ตต์ของเธอ ในปี 2007 ไพค์ได้แสดงประกบไรอัน กอสลิงและแอนโธนี ฮ็อปกินส์ในทริลเลอร์กฎหมายของนิวไลน์เรื่อง “Fracture” ที่กำกับโดยเกรกอรี ฮ็อบลิท เธอได้แสดงในภาพยนตร์อินดี้ที่กำกับโดยเจเรมี โพเดสวาเรื่อง “Fugitive Pieces” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2007 หลังจากนั้น เธอก็ได้นำแสดงในภาพยนตร์อินดี้ที่กำกับโดยเจมส์ โอคลีย์และร่วมแสดงโดยลีนา โอลินเรื่อง “Devil You Know” หลังจากนั้น ไพค์ก็ได้แสดงประกบจูดี้ เดนช์ในละครเรื่อง “Madame de Sade” ที่โรงละครวินด์แฮม เธียเตอร์ ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์อินดี้เรื่อง “Dagenham Girls” ที่เธอได้แสดงประกบแซลลี ฮอว์กินส์และกำกับโดยไนเจล โคล ผลงานหลังจากนี้ของไพค์คือภาพยนตร์อินดี้เรื่อง “Barney’s Version” ที่เธอแสดงประกบพอล จิอาแมตติและดัสติน ฮอฟแมน บอริส ค็อดโจ (หัวหน้า FBI แอนดรูว์ สโตน) เกิดที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และเติบโตขึ้นในเมืองฟรายเบิร์ก ประเทศเยอรมนี นักแสดงหนุ่มรูปหล่อคนนี้เกิดในครอบครัวของคุณแม่ชาวเยอรมัน (นักจิตวิทยา) และคุณพ่อชาวแอฟริกัน (แพทย์จากกานา) เขาเดินทางมายังอเมริกาในปี 1992 ด้วยทุนการศึกษากีฬาเทนนิสจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย คอมมอนเวลธ์ในริชมอนด์ ที่ซึ่งความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักกีฬาเทนนิสอาชีพของเขาต้องพังทลายจากอาการบาดเจ็บที่หลัง ก่อนหน้าที่เขาจะสำเร็จการศึกษาในสาขาการตลาดในปี 1996 เขาได้รับการทาบทามจากเอเยนต์จากฟอร์ด โมเดลลิงในนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาได้เข้าทำงานด้วยหลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้ร่วมงานกับช่างภาพชื่อดังมากมายเช่น บรูซ เวเบอร์, เฮิร์บ ริทส์และแมทธิว โรลสตัน และผลงานที่น่าประทับใจของเขาก็ทำให้เขาได้รับรางวัลซูเปอร์โมเดล อวอร์ดในงานแฟชันโชว์ฤดูใบไม้ร่วงปี 1998 ค็อดโจได้ขึ้นปกนิตยสารสำหรับผู้ชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลกหลายเล่ม และเขาก็เป็นที่สะดุดตาของแมวมองในฮอลลีวูดที่กำลังมองหานักแสดงหน้าใหม่อยู่เข้า ค็อดโจได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์โดยสไปค์ ลีเรื่อง “Love and Basketball” ที่ร่วมแสดงโดยซานา ลาธานและโอมาร์ เอพส์ เขาได้เป็นดารารับเชิญในซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องเช่น “The Steve Harvey Show,” “Boston Public” และ“Eve” ก่อนที่เขาจะได้รับบทที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเขาในตอนนั้น นั่นก็คือบทเดมอน คาร์เตอร์ เด็กขนของที่หลงรักหนึ่งในสามศรีพี่น้องชาวแอฟริกัน/อเมริกัน (นิโคล อารี ปาร์คเกอร์) ในซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Soul Food” ค็อดโจได้แสดงในซีรีส์ดรามาเรื่องนี้ ที่สร้างขึ้นจากภาพยนตร์ฮิตปี 1997 เป็นเวลาห้าซีซัน สำหรับผลงานจอแก้วของเขา ค็อดโจได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด โดยสามรางวัลในสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาจาก “Soul Food” และอีกหนึ่งรางวัลจากการแสดงสมทบของเขาใน “Brown Sugar” นอกเหนือจากผลงานหน้ากล้องของเขาแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ ค็อดโจยังประสบความสำเร็จบนเวทีอีกด้วย ในเดือนเมษายน ปี 2008 เขาได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ด้วยการรับบทบริคในละครคลาสสิกของเทนเนสซี วิลเลียมเรื่อง “Cat on a Hot Tin Roof” ที่เขาแสดงประกบเจมส์ เอิร์ล โจนส์, ฟิลิเซีย ราชัดและอานิกา โนนี โรส หากแต่ความทุ่มเทและภารกิจในชีวิตที่แท้จริงของเขาคือการกระตุ้นให้ผู้คนรับรู้เกี่ยวกับโรคสไปนา ไบฟิดา เขาและนิโคล ภรรยา ได้ก่อตั้งมูลนิธิโซฟีส์ วอยส์ ( www.sophiesvoicefoundation.org ) เพื่อเป็นเกียรติแก่ โซฟี ลูกสาวของทั้งคู่ ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ตั้งแต่แรกเกิด ความพยายามของพวกเขารวมถึงการป้องกัน การดูแลและการศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ และพวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะพัฒนาชีวิตของเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ รวมถึงหาวิธีรักษาโรคที่อาจเป็นตั้งแต่แรกเกิดที่สามารถป้องกันได้มากที่สุดด้วย เจมส์ ฟรานซิส กินตี้ (แคนเตอร์) เป็นนักแสดงรุ่นที่สอง ที่เจริญรอยตามพ่อแม่ของเขา โรเบิร์ต กินตี้ นักแสดง/นักเขียน/ผู้กำกับและนักแสดงหญิงฟรานซีน แท็คเกอร์ ปัจจุบัน กินตี้กำลังอยู่ระหว่างการทำเวิร์คช็อปสำหรับละครออฟบรอดเวย์ของบิล ซี. เดวิสเรื่อง “Mass Appeal” และกลับไปเรียนต่อที่ยูซีแอลเอเพื่อให้สำเร็จการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ร่วมทำงานในแคมเปญให้กับบารัค โอบามาและเมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งผ่านการฝึกงานที่ดีเอสซีซี (คณะกรรมการแคมเปญวุฒิสมาชิกของเดโมแครท) ในวอชิงตัน, ดี.ซี. กินตี้เกิดในลอสแองเจลิส แต่เติบโตในดี.ซี. ด้วยความรักในการแสดง เขาจึงได้เข้าศึกษาระดับไฮสคูลที่อินเตอร์ล็อคเคน อาร์ตส์ อคาเดมี ที่โด่งดังในอินเตอร์ล็อคเคน, มิชิแกน (หลังจากเข้าศึกษาที่วัลลีย์ ฟอร์จ มิลิทารี อคาเดมี ในเพนซิลวาเนียชั่วคราว) ก่อนที่เขาจะเข้าศึกษาในเดอะ จูเลียร์ด สคูล ในนิวยอร์ก ซิตี้ ที่ซึ่งเขาได้ทุ่มเทให้กับการแสดงและบัลเลต์ นอกจากนี้ เขายังได้ศึกษาเกี่ยวกับบัลเลต์คลาสสิกเป็นเวลาเจ็ดปีในโรงเรียนหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงเดอะ อเมริกัน บัลเลต์ เธียเตอร์, เดอะ รอยัล บัลเลต์และเดอะ เนชันแนล บัลเลต์ ออฟ แคนาดา เขาเริ่มต้นแสดงอย่างเป็นทางการระหว่างที่เขายังศึกษาระดับไฮสคูล และหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าศึกษาหลักสูตรการละครที่โด่งดังเช่นเดอะ บริติช อเมริกัน ดรามา อคาเดมีและเดอะ รอยัล อคาเดมี ออฟ ดรามาติก อาร์ต ก่อนที่จะเข้าศึกษาที่จูเลียร์ด กินตี้โบกมือลาจูเลียร์ดเพื่อมาแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกประกบแฮร์ริสัน ฟอร์ดและเลียม นีสันใน “K-19: The Widowmaker” ในขณะที่บทบาทหลังจากนั้นของเขารวมถึงบทดารารับเชิญในซีรีส์ “ER” และ “Private Practice” กินตี้ยังได้แสดงในละครเวที โดยผลงานของเขารวมถึงละครโดยทอม สต็อพเพิร์ดเรื่อง “Night and Day” ที่โรงละครวิลมา เธียเตอร์ในฟิลาเดลเฟียร์, บทโรมิโอที่โรงละครซีแอตเติล เร็พและผลงานอีกเรื่องหนึ่งของเดอะ บาร์ดเรื่อง “All’s Well That Ends Well” ที่โรงละครฟอลเกอร์ เชคสเปียร์ เธียเตอร์ ในกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. เจมส์ ครอมเวล (แคนเตอร์วัยชรา) ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงที่น่าจดจำของเขาในบทชาวนาฮ็อกเก็ตต์ในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง “Babe” ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาได้แก่ ภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง “W.,” ภาพยนตร์โดยสตีเฟน เฟรียร์สเรื่อง “The Queen,” ภาพยนตร์โดยคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง “Space Cowboys,” ภาพยนตร์เลื่องชื่อของแฟรงค์ ดาราบอนท์เรื่อง “The Green Mile” และ “Spider-Man 3” เขารับบทเป็นคุณปู่ในภาพยนตร์เรื่อง “The Education of Little Tree” และบทสารวัตรตำรวจดัดลีย์ สมิธในภาพยนตร์เรื่อง “L.A. Confidential” ครอมเวลได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากผลงานของเขาในซีรีส์ออริจินอลของเอชบีโอเรื่อง “Six Feet Under,” ภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “RKO 281” และดรามาเอ็นบีซีเรื่อง “ER” ผลงานของเขามีทั้งมินิซีรีส์และภาพยนตร์ประจำสัปดาห์หลายสิบเรื่อง ซึ่งรวมถึงบทนำในซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “A Slight Case of Murder,” บทคาเมโอในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Angels in America,” “West Wing,” “Picket Fences,” “Home Improvement,” “L.A. Law” และ “Star Trek: The Next Generation” ครอมเวลได้กำกับละครตามโรงละครต่างๆ ทั่วประเทศและเป็นผู้ก่อตั้งรวมถึงผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของสเตจ เวสต์ บริษัทของเขาเองที่ตั้งอยู่ที่สปริงฟิลด์, แมสซาซูเซทส์อีกด้วย นอกจากนั้น เขายังได้ร่วมกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้น ซึ่งเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ลอนดอนอีกด้วย ครอมเวลเกิดในลอสแองเจลิสและเติบโตในนิวยอร์กและวอเตอร์ฟอร์ด, คอนเน็กติคัท เขาศึกษาที่คาร์เนจี้ เมลลอน (ซึ่งตอนนั้นยังเป็นคาร์เนจี้ เทคอยู่) จอห์น ครอมเวล พ่อของเขา ซึ่งเป็นนักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง เป็นหนึ่งในประธานคนแรกๆ ของสมาพันธ์ผู้กำกับภาพยนตร์ ส่วนเคย์ จอห์นสัน แม่ของเขา ก็เป็นนักแสดงละครเวทีและภาพยนตร์ วิง ราห์มส์ (นักพยากรณ์) ได้ร่วมงานกับบรูซ วิลลิสอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พวกเขาได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ปี 1994 ของเควนติน ทารันติโนเรื่อง “Pulp Fiction” ราห์มส์มาจากฮาร์เลม, นิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นศึกษาด้านการแสดงที่นิวยอร์ก ไฮสคูล ฟอร์ เพอร์ฟอร์มิง อาร์ตและจูเลียร์ด สคูล ออฟ ดรามา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากจูเลียร์ดในปี 1983 ราห์มส์ก็ได้เปิดตัวในโลกการแสดงในละครโปรดักชันของเชคสเปียร์ อิน เดอะ ปาร์คโดยโจ แป็ปเรื่อง “King Richard III” ในปี 1994 ราห์มส์ได้รับบทมาร์เซลลัส “บิ๊ก แมน” วอลเลซ พ่อค้ายาเลือดเย็นในภาพยนตร์ชื่อดังของทารันติโนเรื่อง “Pulp Fiction” ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเดอ พัลมาอีกครั้งในบทแฮ็คเกอร์คอมพิวเตอร์จอมเจ้าเล่ห์ ลูเธอร์ สติคเคลใน “Mission: Impossible” ซึ่งเป็นบทที่เขาได้กลับมาเล่นอีกในซีเควลสองภาคของแฟรนไชส์นี้ “M:I-2” และ “M:I-3” ผลงานจอเงินของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง “Out of Sight,” ภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง “Bringing Out the Dead,” ผลงานสร้างของเจอร์รี บรัคไฮเมอร์เรื่อง “Con Air,” ภาพยนตร์โดยจอห์น ซิงเกิลตันเรื่อง “Rosewood” และ “Envy,” “I Now Pronounce You Chuck and Larry,” “Dawn of the Dead,” “Kiss of Death,” “Striptease,” “Entrapment” และพากย์เสียงตัวการ์ตูนค็อบบรา บับเบิลส์ในภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Lilo & Stitch” (เขากลับมาพากย์เสียงตัวละครตัวเดิมอีกครั้งในซีเควลวิดีโอเรื่อง “Stitch: The Movie”) ผลงานหลังจากนี้ของเขาได้แก่ “The Goods: Live Hard Sell Hard” และ “Master Harold…and the Boys” อีกหนึ่งไฮไลท์ในชีวิตนักแสดงของเขาคือการได้รับบทโปรโมเตอร์มวยที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดของโลกในภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Don King: Only in America” ราห์มส์ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์ (และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็กและเอ็มมี) จากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในพิธีมอบรางวัลลูกโลกทองคำปี 1998 เขาได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมด้วยการมอบรางวัลของเขาให้กับแจ็ค เล็มมอน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนี้ และเป็นผู้ที่เขารู้สึกว่าสมควรได้รับรางวัลนี้มากกว่าเขา ในระหว่างที่เขาเป็นนักแสดงนี้ ราห์มส์ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมแห่งปีของโชเวสต์ในปี 2000 โดยสมาพันธ์เจ้าของโรงละครแห่งชาติ (NATO) และได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดจากผลงานภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์ของเขาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แจ็ค โนสเวิร์ธตี้ (ไมลส์ สตริคแลนด์) ได้ร่วมงานกับผู้กำกับโจนาธาน มอสโทว์อีกครั้งเป็นครั้งที่ห้าแล้ว หลังจากที่ได้ร่วมงานกับเพื่อนชาวนิวอิงค์แลนด์ของเขามาแล้วใน “Breakdown,” “U-571,” ทริลเลอร์เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวเรื่อง “Them” และบทคาเมโอใน “Terminator 3: Rise of the Machines” (ซึ่งถูกตัดออกจากฉบับภาพยนตร์แต่ปรากฏอยู่ในเวอร์ชันดีวีดี) โนสเวิร์ธตี้เกิดและเติบโตในแมสซาซูเซทส์ เขาสำเร็จการศึกษาจากเดอะ บอสตัน คอนเซอร์เวทอรี โดยเขาแสดงทั้งในภาพยนตร์ ซีรีส์โทรทัศน์และละครบรอดเวย์ เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงด้วยการแสดงละครมิวสิคัลที่ทัวร์ทั่วประเทศเรื่อง “Cats” เขาเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ด้วยการแสดงละครเรื่อง “Jerome Robbins Broadway” และเขาก็เป็นนักแสดงคนสุดท้ายที่ได้รับเลือกให้แสดงในละครที่นำกลับมาสร้างใหม่เรื่อง “A Chorus Line” และล่าสุด เขาก็เพิ่งแสดงประกบจอห์น ลิธโกว์ในละครบรอดเวย์มิวสิคัลเรื่อง “Sweet Smell of Success” นอกเหนือไปจากผลงานละครเวทีนิวยอร์กของเขาแล้ว เขายังได้รับรางวัลลอสแองเจลิส ดรามา คริติกส์และรางวัลดรามาล็อก อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากการแสดงในบทอลัน สเตรงจ์ในละครเรื่อง “Equus” โปรดักชันของลอสแองเจลิส ด้านภาพยนตร์ ผลงานของเขาได้แก่ภาพยนตร์ที่กำลังจะลงโรงเรื่อง “Pretty Ugly People” รวมไปถึง “Phat Girlz,” “Undercover Brother,” “Poster Boy,” “Unconditional Love,” “Event Horizon,” “The Brady Bunch Movie,” “Barb Wire,” “Trigger Effect,” “Cecil B. DeMented,” “Alive” และ “Encino Man” ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา นอกเหนือจากผลงานที่เขาได้ร่วมงานกับมอสโทว์แล้ว โนสเวิร์ธตี้ยังเคยร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่างพี.เจ. โฮแกน, พอล แอนเดอร์สัน, เบ็ตตี้ โธมัส, เดวิด โคเอปป์และจอห์น วอเตอร์สมาแล้วด้วย เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง โจนาธาน มอสโทว์ (ผู้กำกับ) เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับด้วยภาพยนตร์ปี 1997 เรื่อง “Breakdown” ทริลเลอร์ตึงเครียดที่นำแสดงโดยเคิร์ท รัสเซลในบทของชายผู้ซึ่งภรรยาของเขาหายตัวไปอย่างลึกลับในทะเลทรายหลังจากที่รถของพวกเขาเสียกลางทาง ภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่องนี้เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศในสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศอีกเรื่องคือแอ็กชันทริลเลอร์เกี่ยวกับเรือดำน้ำในสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง “U-571” ที่นำแสดงโดยแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์และฮาร์วีย์ เคเทล ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เขาได้เขียนบทเองด้วย ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และได้รับรางวัลออสการ์สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม จากนั้น มอสโทว์ก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Terminator 3: Rise of the Machines” ที่นำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ และทำรายได้กว่า 450 ล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้แฟรนไชส์นี้ยังคงเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ทำรายได้สูงสุดของฮอลลีวูด เขาได้ควบคุมงานสร้างทริลเลอร์ปี 1997 ของเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง “The Game” (ที่เขาได้พัฒนาสคริปต์ร่วมกับจอห์น แบรนคาโต้และไมเคิล เฟอร์ริส เพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมชั้นสมัยฮาร์วาร์ดของเขา) ก่อนที่เขาจะหวนคืนสู่เก้าอี้ผู้กำกับอีกครั้งกับมินิซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมีของเอชบีโอเรื่อง “From the Earth to the Moon” ที่เขาได้กำกับทอม แฮงค์ในเซ็กเมนต์สุดท้ายที่มีชื่อว่า “La Voyage Dans La Lune” ในปี 2004 มอสโทว์ได้รับการโหวตให้เป็น “ผู้กำกับแอ็กชันแห่งปี” โดยสมาพันธ์สตันท์โลก ล่าสุด เขารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ดรามาซูเปอร์ฮีโรที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธเรื่อง “Hancock” มอสโทว์เริ่มต้นก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาที่ฮาร์วาร์ด ที่ซึ่งเขาได้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นและสารคดีที่ได้รับรางวัลมากมาย ผลงานการเขียนบทและการกำกับที่สร้างชื่อให้กับเขาคือทริลเลอร์ปี 1991 ของโชว์ไทม์เรื่อง “Flight of Black Angel” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเคเบิล เอซ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์หรือรายการพิเศษนานาชาติยอดเยี่ยม นอกเหนือไปจากผลงานภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์ของเขาแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ มอสโทว์ยังได้สร้างซีรีส์นิยายภาพสี่เล่มเรื่อง The Megas ให้กับเวอร์จิน คอมิกส์ โดยนิยายเรื่องนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกคู่ขนาน ที่ซึ่งอเมริกามีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง เดวิด โฮเบอร์แมน (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างระดับแนวหน้าของวงการบันเทิงปัจจุบัน ด้วยการสร้างผลงานภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง ในปี 2002 หลังจากทำงานที่เอ็มจีเอ็มนานสามปี โฮเบอร์แมนได้ก่อตั้งแมนเดอวิลล์ ฟิล์มส์ แอนด์ เทเลวิชันขึ้นมาใหม่ที่เดอะ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โฮเบอร์แมนเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตที่เพิ่งลงโรงเร็วๆ นี้เรื่อง “The Proposal” ที่นำแสดงโดยแซนดร้า บุลล็อคและไรอัน เรย์โนลด์ส ในปี 2008 โฮเบอร์แมนได้มีผลงานเป็นภาพยนตร์ผจญภัยยอดนิยมสำหรับครอบครัวเรื่อง “Beverly Hills Chihuahua” และทริลเลอร์สายลับนานาชาติ “Traitor” ที่นำแสดงโดยดอน ชีเดิล ซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “Kill Point” ที่นำแสดงโดยจอห์น เลอกุยซาโมและดอนนี วอห์ลเบิร์ก ออกอากาศครั้งแรกในช่วงซัมเมอร์ปี 2007 ทางสไปค์ ทีวี ในปี 2006 โฮเบอร์แมนมีผลงานเป็นภาพยนตร์การผจญภัยในทวีปอาร์คติกเรื่อง “Eight Below” ที่นำแสดงโดยพอล วอล์คเกอร์และ “The Shaggy Dog” ที่นำแสดงโดยทิม อัลเลน ปัจจุบันนี้ โฮเบอร์แมนได้เป็นอาจารย์โปรแกรมผู้อำนวยการสร้างในระดับปริญญาโทของยูซีแอลเอ เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการมูลนิธิสตาร์ไลท์ สตาร์ไบรท์มากว่าสิบปี เป็นสมาชิกคณะกรรมการสมาพันธ์ความผิดปกติด้านความวิตกกังวลแห่งอเมริกาและเป็นสมาชิกคณะกรรมการลอสแองเจลิส ฟรี คลินิกนานหกปี นอกจากนี้ เขายังเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์และสถาบันศิลปะและวิทยาการโทรทัศน์อีกด้วย โฮเบอร์แมนเริ่มต้นทำงานในห้องพัสดุในเอบีซีและไต่เต้าขึ้นไปในวงการบันเทิงอย่างรวดเร็ว โดยเขาได้ทำงานให้กับบริษัทแทนเด็ม/ที.แอนด์.ที ของนอร์แมน เลียร์ในจอแก้วและจอเงิน เขาได้ทำหน้าที่เป็นเอเยนต์ที่ไอซีเอ็มก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารของดิสนีย์ในปี 1985 ท็อดด์ ลีเบอร์แมน (ผู้อำนวยการสร้าง) เขาทำการดูแลโปรเจ็กต์ภาพยนตร์และโทรทัศน์กว่า 30 เรื่องให้กับแมนเดอวิลล์ ล่าสุด เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Proposal” ที่นำแสดงโดยแซนดร้า บุลล็อคและไรอัน เรย์โนลด์ส, “Beverly Hills Chihuahua” ที่กำกับโดยราจา กอสเนลและนำแสดงโดยไปเปอร์ เพราโบ และพากย์เสียงโดยดรูว์ แบร์รีมอร์, แอนดี้ การ์เซียและจอร์จ โลเปซ, “Traitor” ที่นำแสดงโดยดอน ชีเดิลและกาย เพียร์ซ, “The Lazarus Project” ที่นำแสดงโดยพอล วอล์คเกอร์, “Wild Hogs” ที่นำแสดงโดยทิม อัลเลน, จอห์น ทราโวลต้า, มาร์ติน ลอว์เรนซ์และวิลเลียม เอช. เมซี (ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 250 ล้านเหรียญทั่วโลก) และซีรีส์ฮิตทางสไปค์ ทีวีเรื่อง “The Kill Point” ที่นำแสดงโดยจอห์น เลอกุยซาโมและดอนนี วอห์ลเบิร์ก นอกจากนี้ ลีเบอร์แมนยังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Shaggy Dog” ที่นำแสดงโดยทิม อัลเลน, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และคริสติน เดวิสและกำกับโดยไบรอัน ร็อบบินส์, “Eight Below” ที่นำแสดงโดยพอล วอล์คเกอร์และกำกับโดยแฟรงค์ มาร์แชลและทริลเลอร์อินดี้การเมืองเรื่อง “Five Fingers” ที่เขียนบทโดยลอว์เรนซ์ มัลกินและแชด ธูแมนน์ กำกับโดยมัลกินและนำแสดงโดยลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์นและไรอัน ฟิลิปเป้ ลีเบอร์แมนได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Beauty Shop” ที่นำแสดงโดยควีน ลาติฟาห์, ดิมอน ฮันซู, เควิน เบคอนและอลิเซีย ซิลเวอร์สโตน และภาพยนตร์การกำกับเรื่องแรกของเจฟ นาธานสันเรื่อง “The Last Shot” ที่นำแสดงโดยแมทธิว โบรเดอริคและอเล็ค บัลด์วิน เขาได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Bringing Down the House” ที่นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ตินและควีน ลาติฟาห์และ “Raising Helen” ที่นำแสดงโดยเคท ฮัดสันและกำกับโดยแกร์รี มาร์แชล ปัจจุบัน ลีเบอร์แมนกำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Fighter” ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและคริสเตียน เบลและกำกับโดยเดวิด โอ. รัสเซลให้กับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่แมนเดอวิลล์ ลีเบอร์แมนได้ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสบริษัทการเงินและโปรดักชันต่างประเทศ ไฮด์ ปาร์ค เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งอำนวยการสร้างและร่วมสนับสนุนด้านเงินทุนภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “Anti-Trust,” “Bandits” และ “Moonlight Mile” ลีเบอร์แมนได้ทำงานที่ซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทนานาชาติยักษ์ใหญ่ด้านงานขายและจัดจำหน่าย และเขาก็ได้ไต่เต้าขึ้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากผลักดันงานสร้างภาพยนตร์อินดี้ฮิตเรื่อง “Memento” และคว้าสิทธิของภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “American Pie” มาได้ จอห์น แบรนคาโต้และไมเคิล เฟอร์ริส (บทภาพยนตร์) ได้ร่วมงานกับผู้กำกับโจนาธาน มอสโทว์อีกครั้งหลังจากที่ได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Terminator 3: Rise of the Machines” ทั้งคู่ได้ร่วมงานกับมอสโทว์ (เพื่อนร่วมชั้นในฮาร์วาร์ด) เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ปี 1991 เรื่อง “Flight of Black Angel” แม้ว่าทั้งคู่จะได้พบกันเป็นครั้งแรกที่ฮาร์วาร์ดในช่วงต้นยุค 80s (ทั้งคู่เป็นคนลำดับภาพ Harvard Lampoon) แต่พวกเขาก็มีแบ็คกราวน์ที่แตกต่างกันและมาจากคนละฟากฝั่งของอเมริกา แบรนคาโต้เกิดและเติบโตในนิวยอร์ก เขาทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูนและนักข่าวหลังจบการศึกษา ก่อนที่เขาจะมาถึงในลอสแองเจลิสในที่สุด ส่วนเฟอร์ริสเป็นชาวเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย เขาได้เดินทางกลับบ้านเกิดหลังจบการศึกษาเพื่อร่วมงานกับอดีตเพื่อนร่วมชั้นของเขา พวกเขาเริ่มยึดอาชีพมือเขียนบทให้กับภาพยนตร์ทุนต่ำหลายเรื่อง และได้มีโอกาสร่วมงานกับตำนานแห่งโลกภาพยนตร์อย่าง โรเจอร์ คอร์แมน, โอลิเวอร์ รี้ดและบรูซ แคมป์เบล ในปี 1991 ทั้งคู่ได้เขียนสเป็ค สคริปต์ที่มีชื่อว่า “The Game” ขึ้นมาและสคริปต์นั้นก็ถูกขายให้กับเอ็มจีเอ็มด้วยราคาสูง หกปีให้หลัง เดวิด ฟินเชอร์ได้กำกับทริลเลอร์เฉียบคมเรื่องนั้น ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักกลาสและฌอน เพนน์ ในขณะเดียวกัน ทริลเลอร์ไฮเทคของพวกเขาเรื่อง “The Net” ซึ่งนำแสดงโดยแซนดร้า บุลล็อค ก็ถูกอำนวยการสร้างที่โคลัมเบีย แบรนคาโต้และเฟอร์ริสได้สร้างและควบคุมงานสร้างซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “The Others” พวกเขาเป็นหนึ่งใน 26 มือเขียนบทของภาพยนตร์แอ็กชันที่สร้างขึ้นจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Catwoman” และได้เขียนบทให้กับภาพยนตร์เกี่ยวกับสัตว์ร้ายเรื่อง “Primeval” นอกจากนี้ พวกเขายังได้เขียนบทภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ “The Terminator” เรื่อง “Terminator Salvation: The Future Begins” ที่นำแสดงโดยคริสเตียน เบล ภายใต้การกำกับของแม็คจีอีกด้วย โรเบิร์ต เวนดิตตี้ (นักเขียนนิยายภาพ) ชาวฮอลลีวูด, ฟลอริดา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์และภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาในเกนส์วิลล์และระดับปริญญาโทสาขาการเขียนสร้างสรรค์จากมหาวิทยาลัยเซ็นทรัล ฟลอริดาในออร์แลนโด ความใฝ่ฝันที่อยากเป็นนักเขียนนิยายผลักดันให้เขาตีพิมพ์เรื่องสั้นในปี 2002 (ลงนิตยสารเบิร์คลีย์ ฟิคชัน รีวิว) ก่อนที่เขาจะติดใจการ์ตูนและหันมาทุ่มเทให้กับการเขียนนิยายภาพ ด้วยความช่วยเหลือและแนะนำจากเจ้านายของเขา สำนักพิมพ์ท็อป เชลฟ์ เขาตั้งใจที่จะส่งไอเดียนิยายไปขายใจตอนที่คริส สตารอสและเบรทท์ วอร์น็อคเลือกที่จะเก็บสิทธิสำหรับเรื่อง The Surrogates (ผลงานยาวเรื่องแรกของเขา) สำหรับบริษัทของพวกเขาเอง เมื่อเร็วๆ นี้ เวนดิตตี้เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการเขียนซีเควลของหนังสือเล่มนั้น (ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน) ซึ่งจะตีพิมพ์ในฤดูร้อนปี 2009 เขายังวางแผนที่จะเขียนเล่มที่สาม ซึ่งจะมีเรื่องราวเกิดขึ้น 15 ปีหลังจากเรื่องราวตอนแรกอีกด้วย เบรทท์ เวลเดล (นักเขียนภาพประกอบนิยายภาพ) ได้ทำงานในแวดวงการ์ตูนตั้งแต่ปี 2000 ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์โดยโอนี เพรส, อิเมจ, มาร์เวลและเอไอที งานเขียนของเขาที่ผสมผสานระหว่างปากกาและหมึก และโทนเนอร์กับสี ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งแฟนๆ และนักวิจารณ์ไม่ต่างกัน เวลเดลเป็นชาวมอนทานา ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับซาคราเมนโต้, แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงานโปรเจ็กต์ล่าสุด แSouthland Tales ร่วมกับนักเขียน/ผู้สร้างริชาร์ด เคลลี ผลงานนิยายภาพเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับการตีพิมพ์ของเขาได้แก่ Couscous Express (เขียนโดยไบรอัน วู้ด), Shot Callerz (เขียนโดยแกร์รี ฟิลลิปส์) และ Julius (กับแอนตัน จอห์นสตัน) The Surrogates เป็นผลงานสีเรื่องแรกของเขา เวลเดลเริ่มสนใจงานเขียนภาพประกอบตั้งแต่อยู่ไฮสคูล และเขาก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขา “การวาดภาพซีเควนซ์” จากซาวันนาห์ คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ เดวิด นิคเซย์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ทำหน้าที่หลากหลายในสายงานสร้างมาแล้ว (ทั้งผู้อำนวยการสร้างอิสระ, ผู้บริหารสตูดิโอ, ผู้ควบคุมงานสร้าง, ผู้ช่วยผู้กำกับ) ตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่เขาทำงานอยู่ในแวดวงบันเทิง นิคเซย์เป็นชาวแมสซาซูเซทส์ เขาสำเร็จการศึกษาสาขาการแสดงจากแฮมป์เชียร์ คอลเลจในแอมเฮิร์สท์ หลังจากที่ได้ทำงานในริงกลิง บรอส. บาร์นัม แอนด์ เบลลีย์ เซอร์คัส ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันด้านการบันเทิงที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา เขาก็เริ่มต้นทำงานในฮอลลีวูด ในฐานะส่วนหนึ่งของโปรแกรมฝึกของสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา ในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับ เขาได้ขัดเกลาทักษะของเขาในโปรเจ็กต์หลากหลายเช่น “Raid on Entebbe,” “Rich Man, Poor Man,” “Oh God!,” “The Bad News Bears in Breaking Training” และซีรีส์โทรทัศน์ “How the West Was Won” ก่อนที่จะขยับขึ้นไปเป็นผู้จัดการฝ่ายการผลิตอย่างรวดเร็ว ผลงานในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างของเขาได้แก่ “The Addams Family Values,” “Legally Blonde,” คอเมดีฮิตที่นำแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์เรื่อง “Flubber,” ทริลเลอร์ตำรวจที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง “The Negotiator” ที่นำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสันและเควิน สเปซีย์, “The Adventures of Rocky & Bullwinkle,” “What’s the Worst That Can Happen?,” ทริลเลอร์ “Married Life” ที่นำแสดงโดยเพียร์ซ บรอสแนนและคริส คูเปอร์และซีเควลฮิต “Step Up 2: The Streets” อลิซาเบธ แบงค์ส (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ก้าวเข้าสู่แวดวงงานสร้างเป็นครั้งแรกด้วย “Surrogates” ซึ่งเธอได้พัฒนาร่วมกับสามีของเธอ ผู้อำนวยการสร้างแม็กซ์ แฮนเดลแมน ผู้ซื้อสิทธินิยายเรื่องนี้หลังจากเจอมันบนอินเทอร์เน็ต แบงค์สและแฮนเดลแมนร่วมกันบริหารงานบราวน์สโตน โปรดักชันส์ ที่ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างงานสร้างภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือนอนฟิคชันของแอน โรว์ ซีแมนเรื่อง “America’s Most Hated Woman: The Life and Gruesome Death of Madalyn Murray O’Hair,” “Expedition Six” ซึ่งสร้างขึ้นจากหนังสือของคริส โจนส์เกี่ยวกับนักบินอวกาศสามคนที่ถูกทิ้งอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติหลังจากเหตุระเบิดของกระสวยอวกาศโคลัมเบียในปี 2003, โรแมนติกคอเมดีเรื่อง “What About Barb” ซึ่งเกี่ยวกับสาวสังคมที่ยอมให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็นเพื่อนเจ้าสาวเพื่อที่คุณลุงที่ร่ำรวยของเธอจะได้จ่ายเงินจัดงานแต่งงานให้กับเธอและ “Pitch Perfect” คอเมดีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกการแข่งขันของการร้องเพลงคัปเปลา ล่าสุด พวกเขาเพิ่งเริ่มทำงานใน “Forever 21” ภาพยนตร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแบงค์สในดรีมเวิร์คส์ นอกเหนือจากบทบาทของเธอในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แล้ว การทำงานหน้ากล้องของแบงค์สตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งที่พุ่งแรงที่สุดของฮอลลีวูด เธอได้รับเสียงชื่นชมครั้งแรกจากบทมาร์เซลา โฮเวิร์ดประกบเจฟ บริดเจสและโทบี้ แม็กไกวร์ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เรื่อง “Seabiscuit” (และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดง) โอลิเวอร์ วู้ด (ผู้กำกับภาพ) ได้ร่วมงานกับผู้กำกับโจนาธาน มอสโทว์อีกครั้ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในทริลเลอร์ยุคสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง “U-571” วู้ดเกิดในประเทศอังกฤษ เขาเริ่มต้นทำงานในวงการภาพยนตร์ด้วยการเป็นผู้ช่วยช่างกล้องในซีรีส์ โฆษณา สารคดีและภาพยนตร์อังกฤษ หลังจากที่ขยับขึ้นมารับตำแหน่งช่างภาพในภาพยนตร์เสียดสีอังกฤษเล็กๆ ปี 1967 เรื่อง “Popover” เขาก็ย้ายไปอเมริกาและเข้าสู่วงการภาพยนตร์อเมริกันในภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกปี 1970 เรื่อง “The Honeymoon Killers” ตามมาด้วยภาพยนตร์ฟอร์มเล็กหลากหลายเรื่องเช่น “Alphabet City,” “Don’t Go in the House” และ “The White Slave” นอกเหนือจากผลงานภาพยนตร์ในช่วงเริ่มแรกของเขาแล้ว ผลงานของวู้ดในฐานะผู้กำกับภาพในสามซีซันของซีรีส์โทรทัศน์แปลกใหม่ทางเอ็นบีซีของไมเคิล แมนน์เรื่อง “Miami Vice” ได้ช่วยสร้างคำนิยามให้กับสไตล์วิชวลที่โดดเด่นของเรื่อง ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา วู้ดมีผลงานภาพยนตร์กว่า 30 เรื่อง ล่าสุด เขาเพิ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาจากผลงานการถ่ายภาพใน “The Bourne Ultimatum” (วู้ดยังได้กำกับภาพในภาพยนตร์ “Bourne” ทั้งสามภาครวมถึง “The Bourne Identity” ของผู้กำกับดั๊ก ลีแมนและ “The Bourne Supremacy” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมงานกับพอล กรีนกราส) เจฟ แมนน์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับโจนาธาน มอสโทว์อีกครั้งหลังจากที่เคยออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Terminator 3: Rise of the Machines” ของเขา แมนน์เป็นชาวซานดิเอโก้, แคลิฟอร์เนีย หลังสำเร็จการศึกษา เขาได้เดินทางไปทั่วโลก และได้พบปะกับผู้คนในแวดวงดนตรีและศิลปะ ที่นำไปสู่การได้ทำงานในแผนกศิลปะในมิวสิค วิดีโอและโฆษณาโทรทัศน์หลายชิ้น ในปี 1995 ด้วยอายุเพียง 30 ปี เขาก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในผู้ออกแบบโฆษณาระดับแนวหน้าของวงการ ด้วยผลงานโฆษณาที่ได้รับรางวัลมากมายให้กับผู้กำกับหลายคนเช่น ไมเคิล เบย์, อังตวน ฟูกัว, โดมินิค แอ็คคอร์ด, โจนาธาน เกลเซอร์และเฮิร์บ ริทส์ ผู้ล่วงลับ ส่วนลูกค้าของเขาก็มีตั้งแต่โกดัก ไนกี้ เชฟโรเล็ต โคคา-โคลา อเมริกัน เอ็กซ์เพรส และ ฯลฯ หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับเซนาในทริลเลอร์ปี 1994 เรื่อง “Kalifornia” (ในหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ของเรื่อง) เขาก็ได้ขยับไปทำหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างในภาพยนตร์แอ็กชันฮิตของเซนาเรื่อง “Gone in Sixty Seconds” ก่อนที่จะร่วมงานกับเซนาอีกครั้งหนึ่งในทริลเลอร์เทคโนโลยีเรื่อง “Swordfish” ล่าสุด เขาได้ออกแบบภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ไซไฟโดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Transformers,” ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ผจญภัยโดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง “Mr. & Mrs. Smith” และภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดีโดยเบน สติลเลอร์เรื่อง “Tropic Thunder” มาร์ค สเตทสัน (ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์) ได้รับรางวัลอคาเมดี อวอร์ดสาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์จากภาพยนตร์โดยปีเตอร์ แจ็คสันเรื่อง “Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring” ซึ่งเป็นภาคแรกของไตรภาคชื่อดังนี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจากซีเควลปี 1984 โดยปีเตอร์ ไฮแอมส์เรื่อง “2010” และได้รับเสียงชื่นชมจากผลงานของเขาในภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากการ์ตูนคลาสสิกของมาร์เวล คอมิกโดยไบรอัน ซิงเกอร์เรื่อง “Superman Returns” นอกเหนือจากการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลและได้รับรางวัลออสการ์แล้ว สเตทสันยังได้รับสองรางวัลบาฟตา จาก “Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring” และทริลเลอร์อนาคตของลุค เบซงเรื่อง “The Fifth Element” (ผลงานเรื่องแรกในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์) รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อครั้งที่สามสำหรับ “Superman Returns” สเตทสันเริ่มต้นทำงานในแวดวงวิชวล เอฟเฟ็กต์ในปี 1978 ด้วยการเป็นช่างปั้นโมเดลในภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek: The Motion Picture” ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้เทคนิควิชวล เอฟเฟ็กต์ในระหว่างที่วงการได้ก้าวข้ามจากเรื่องของเครื่องยนต์กลไกและเทคนิคเคมีภาพไปสู่ยุคดิจิตอล เขาได้รับการยกย่องทั่วโลกเป็นครั้งแรกจากงานจำลองของเขาในภาพยนตร์คลาสสิกปี 1982 ของริดลีย์ สก็อตเรื่อง “Blade Runner” หลังจากนั้น เขาก็ได้ก่อตั้งสตูดิโอเอฟเฟ็กต์จำลองของตัวเองในชื่อ สเตทสัน วิชวล เซอร์วิส, อิงค์ ร่วมกับหุ้นส่วน โรเบิร์ต สเปอร์ล็อค ซึ่งเขาได้บริหารงานตั้งแต่ปี 1989-94 ในโลกเอฟเฟ็กต์จำลอง ผลงานของสเตทสันได้แก่ภาพยนตร์โดยทรัมบุลล์เรื่อง “Brainstorm,” “Poltergeist II: The Other Side,” “Masters of the Universe,” “Die Hard,” “Total Recall” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ด), “Dick Tracy,” Tim Burton’s “Batman Returns,” “Ghostbusters,” “Honey I Blew Up the Kids,” the Coen Brothers’ “The Hudsucker Proxy,” ภาพยนตร์โดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง “True Lies” และ “Waterworld” สเตทสันเกิดและเติบโตในแมสซาซูเซทส์ เขาได้ศึกษาการออกแบบอุตสาหกรรมจากมหาวิทยาลัยบริดจ์พอร์ตในคอนเน็กติคัทระหว่างปี 1972-74 หลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปแคลิฟอร์เนียเพื่อศึกษาต่อที่อาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ ออฟ ดีไซน์ในพาซาเดนา นอกจากรางวัลมากมายที่เขาได้รับแล้ว สเตทสันยังได้รับเลือกให้ติดหนึ่งในลิสต์ “ดิจิตอล 50” ผู้สร้างคอนเทนต์ดิจิตอลของนิตยสารฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์/พีจีเอครั้งแรกในปี 2006 เจฟ ดอว์น (เมคอัพ อาร์ติสท์) เป็นเมคอัพ อาร์ติสท์ รุ่นที่สามของฮอลลีวูด ด้วยการเจริญรอยตามแจ็ค ดอว์น คุณปู่ของเขา ผู้ซึ่งการทำงานนาน 35 ปีของเขารวมถึงการดูแลแผนกเมคอัพของเอ็มจีเอ็ม สตูดิโอส์ระหว่างปี 1935-1950 (ผลงานภาพยนตร์กว่า 100 เรื่องของเขารวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง “The Wizard of Oz”) และโรเบิร์ต ดอว์น พ่อของเขา (“Missouri Breaks,” “Christine,” TV’s “Mission: Impossible”) ก็เป็นเจ้าของรางวัลเอ็มมี ผู้คร่ำหวอดในแวดวงภาพยนตร์และโทรทัศน์มากว่า 35 ปี เครือญาติของเขาที่อยู่ในวงการยังรวมถึงคุณลุง เวส ดอว์น ผู้ซึ่งเป็นเมคอัพ อาร์ติสท์เจ้าของประสบการณ์ 35 ปีในวงการ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2007 แพทริค ลูกชายของดอว์น ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยแชพแมนในลอสแองเจลิส และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่วงการอีกคนหนึ่งเป็นรุ่นที่สี่ของครอบครัว ตัวดอว์นเองได้ทำหน้าที่หัวหน้าแผนกเมคอัพในภาพยนตร์กว่า 40 ปีตลอดระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานกว่า 25 ปี ด้วยความชำนาญในภาพยนตร์แอ็กชัน/ผจญภัย, อนาคต/แฟนตาซี สงครามและพีเรียด การได้ทำงานกับผู้อื่นหลายครั้งของเขายังรวมถึงภาพยนตร์เจ็ดเรื่องกับดเวย์น “เดอะ ร็อค” จอห์นสันและภาพยนตร์ 19 เรื่องกับอาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์ ซึ่งรวมถึงการได้รับออสการ์จากผลงานของเขากับสแตน วินสตันใน “Terminator 2: Judgment Day” เขาเริ่มต้นร่วมงานกับผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียคนปัจจุบันใน “Terminator” ภาคแรกในปี 1984 และเขายังได้ร่วมทำงานใน “Terminator 3: Rise of the Machines” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับโจนาธาน มอสโทว์จาก “Surrogates” ผลงานอื่นๆ ของชวาร์ซเนกเกอร์ได้แก่ “Total Recall,” “Predator,” “The Running Man,” “The 6th Day,” “Collateral Damage,” “End of Days,” “Batman & Robin” (ตัวละคร “Mr. Freeze”), “End of Days,” “Red Heat,” “Twins,” “Kindergarten Cop,” “Eraser,” “Last Action Hero,” “True Lies,” “Jingle All the Way” และผลงานการกำกับเรื่องแรกของชวาร์ซเนกเกอร์ ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Christmas in Connecticut” การเมคอัพที่แปลกใหม่ของเขาทำให้ดอว์นได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ด (“T2: Judgment Day,” “T3: Rise of the Machines,” “The 6th Day,” “Batman & Robin,” “Total Recall,” “Star Trek IV: The Voyage Home”) ซึ่งมอบโดยสถาบันภาพยนตร์ไซไฟ แฟนตาซีและสยองขวัญแห่งอเมริกา โฮเวิร์ด เบอร์เกอร์ (สเปเชียล เมคอัพชิ้นส่วนเทียม) หุ้นส่วนที่ร่วมก่อตั้งเคเอ็นบี อีเอฟเอ็กซ์ กรุ๊ป ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาเมคอัพยอดเยี่ยม (ร่วมกับทามี เลน) ปี 2005 จากการสร้างตัวละคร อนิเมทรอนิคและชิ้นส่วนเทียมที่แปลกใหม่ของเขาในภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ อดัมสันเรื่อง “The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe” เขาและเกร็ก นิโคเทโร หุ้นส่วนของเขาได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดและรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ดจากสถาบันภาพยนตร์ไซไฟ แฟนตาซีและสยองขวัญแห่งอเมริกา ในสาขาเมคอัพยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ล่าสุด เบอร์เกอร์ได้กลับคืนสู่โลกนาร์เนียของซี.เอส. ลูอิสอีกครั้งในภาคที่สอง “Prince Caspian” เคเอ็นบี อีเอฟเอ็กซ์ ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1988 โดยหุ้นส่วนนิโคเทโรและเบอร์เกอร์ และกลายเป็นบริษัทเอฟเฟ็กต์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้กำกับสมัยใหม่หลายคนเช่นเควนติน ทารันติโน (“Kill Bill, Vol. 1 and 2”), โรเบิร์ต โรดริเกซ (ไตรภาค “Spy Kids,” “Once Upon a Time in Mexico,” “Sin City”), สตีเวน สปีลเบิร์ก (“Amistad,” “Minority Report”) และเจย์ โร้ค (“Austin Powers in Goldmember,” “Meet the Fockers”) ทั้งคู่ได้ตกลงเป็นหุ้นส่วนกันหลังจากที่ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์โดยแซม ไรมีเรื่อง “Evil Dead II” และหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ร่วมงานกับไรมีอีกหลายครั้งเช่นใน “Army of Darkness,” “A Simple Plan” และล่าสุด “Spider-Man 3” และพวกเขาก็ยังคงสานต่อการร่วมงานกับผู้กำกับทารันติโนที่เริ่มต้นด้วย “Reservoir Dogs” ต่อไปอีก ทั้งคู่ได้สร้างสิ่งมีชีวิตประหลาดและสเปเชียล เมคอัพ เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์ทริลเลอร์แวมไพร์ที่เขียนบทโดยทารันติโนเรื่อง “From Dusk Till Dawn” ที่กำกับโดยโรเบิร์ต โรดริเกซ ซึ่งนำไปสู่การร่วมงานกันบ่อยครั้งระหว่างพวกเขากับผู้กำกับทั้งสอง โดยผลงานล่าสุดของพวกเขาก็คือผลงานการกำกับร่วมกันของสองผู้กำกับเรื่อง “Grindhouse” เมื่อเร็วๆ นี้ เคเอ็นบีเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงานในรีเมกทริลเลอร์ปี 1986 เรื่อง “The Hitcher,” ภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยจิม แคร์รีย์เรื่อง “Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events” (ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาเมคอัพ), “House of Wax” ให้กับผู้อำนวยการสร้างโจเอล ซิลเวอร์, “Serenity” ให้กับผู้กำกับจอส วีดอน, ภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “The Island” และ “Transformers,” ภาพยนตร์โดยจอร์จ โรเมโรเรื่อง “Land of the Dead” และ “Diary of the Dead,” ภาพยนตร์โดยวูล์ฟกัง ปีเตอร์สันเรื่อง “Poseidon,” ภาพยนตร์โดยอีไล รอธเรื่อง “Hostel” และซีเควล “Hostel II” และรีเมกภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกของเวส คราเวนปี 1977 เรื่อง “The Hills Have Eyes” นอกจากนี้ บริษัทแห่งนี้ยังได้ออกแบบและทำเมคอัพตัวละครให้กับเจมี ฟ็อกซ์ ด้วยการแปลงโฉมนักแสดงหนุ่มคนนี้ให้กลายเป็นนักร้องเรย์ ชาร์ลส์ในภาพยนตร์ชีวประวัติที่ได้รับรางวัลออสการ์ของเทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ดเรื่อง “Ray” แม้ว่าผลงานส่วนใหญ่ของพวกเขาจะอยู่บนจอเงิน (ตอนนี้มีประมาณ 600 เรื่องแล้วและตัวเลขก็ยังคงเดินหน้าต่อไป) เคเอ็นบียังเชี่ยวชาญการทำงานในแวดวงจอแก้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีผลงานใน “Hercules: The Legendary Journeys” และ “Xena: Warrior Princess” เท่านั้น แต่พวกเขายังได้ทำงานในซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “The Outer Limits,” ซีรีส์คัลท์จากฟ็อกซ์ทีวีเรื่อง “The X-Files” และ “24,” ซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Law & Order,” ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Deadwood” และภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Desperation” ซึ่งสร้างขึ้นจากนิยายโดยสตีเฟน คิง ทั้งคู่ได้รับรางวัลเอ็มมีจากผลงานของพวกเขาในซีรีส์ทางไซไฟ แชนแนลเรื่อง “Dune” ทั้งคู่มีแบ็คกราวน์ที่แตกต่างกัน โดยเบอร์เกอร์เติบโตขึ้นในลอสแองเจลิส (เขาเป็นลูกชายของซาวน์มิกเซอร์โพสต์โปรดักชัน) และใช้เวลาในวัยเยาว์เยี่ยมชมสตูดิโอของเจ้าของรางวัลออสการ์ สแตน วินสตันและริค เบเกอร์ อนิเมทรอนิคและผู้สร้างเมคอัพ เอฟเฟ็กต์แปลกใหม่คนดัง ผู้ซึ่งภายหลังเขาได้ร่วมงานด้วยในภาพยนตร์เรื่อง “Aliens,” “Pumpkinhead,” “Predator,” “Harry and the Hendersons” และ “Men in Black” ปัจจุบัน บริษัทแห่งนี้มีพื้นที่ 22,000 ตารางฟุตในแวน นุยส์, แคลิฟอร์เนีย โดยมีทีมงานทั้งหมด 82 คน ส่วนนิโคเทโรมาจากพิตส์เบิร์ก ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นทำงานภายใต้การแนะนำของผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญชื่อดัง จอร์จ โรเมโรและปรมาจารย์ด้านเมคอัพ เอฟเฟ็กต์ ทอม ซาวินี ล่าสุด เขาได้ร่วมงานกับโรเมโรอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “Land of the Dead” ด้วยการรับหน้าที่ผู้กำกับยูนิทที่สองและอนิเมทรอนิค รวมไปถึงซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเมคอัพสิ่งมีชีวิตด้วย ACADEMY AWARD และ OSCAR เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ SCREEN ACTORS GUILD AWARD และ SAG AWARD เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของสมาพันธ์นักแสดง

แท็ก ภาพยนตร์   ICT  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ