กรุงเทพฯ--9 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิมูลค่า 12,000 ล้านบาทของธนาคาร (BAY13NA) ที่ระดับ “A-” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของคณะผู้บริหารของธนาคารที่มีความสามารถและประสบการณ์ รวมทั้งการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร สถานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมูลค่าสิทธิทางการค้า (Franchise Value) ของธนาคารที่เพิ่มขึ้น พร้อมด้วยชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นจากผลสำเร็จของกิจกรรมปรับโครงสร้างองค์กร อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะในธุรกิจให้สินเชื่อรายย่อยที่ดีขึ้นของธนาคารอันนำมาซึ่งการผสมผสานที่สมดุลระหว่างสินเชื่อเพื่อรายย่อยและรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เอื้ออำนวยน้อยลง และจากการที่ธนาคารมีฐานะเงินกองทุนและสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเทียบกับหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับต่ำซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการขยายธุรกิจและการสร้างกำไรของธนาคารได้
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงสถานะทางการเงินและธุรกิจของธนาคารที่ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าธนาคารจะยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการมีมูลค่าสิทธิทางการค้าที่ดีขึ้นภายใต้แนวทางการเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (Universal Banking) ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้เกิดการกระจายตัวทางธุรกิจและแหล่งรายได้ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนให้แก่ธนาคาร นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารจะมีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังคงเหลืออยู่ พร้อมกับเพิ่มเงินสำรองให้อยู่ในระดับที่เกินกว่าขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์เฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในลำดับที่ 6 เมื่อพิจารณาจากขนาดของสินทรัพย์ โดยธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของเงินให้สินเชื่อและเงินฝากที่ประมาณ 9% ธนาคารมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ตระกูล รัตนรักษ์ ซึ่งถือหุ้น 37% ในธนาคาร ณ เมื่อสิ้นเดือนเมษายน 2549 ธนาคารพยายามรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ด้วยการปรับกิจกรรมต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งได้ช่วยเพิ่มมูลค่าสิทธิทางการค้าและสร้างชื่อเสียงในด้านบวกให้แก่ธนาคารมากขึ้น เพื่อที่จะพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางของการเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ธนาคารจึงถือหุ้นโดยตรงในบริษัทที่ให้บริการทางการเงินหลากหลายประเภท ได้แก่ธุรกิจหลักทรัพย์ บริหารกองทุน ลีสซิ่ง เช่าซื้อ แฟคตอริ่ง และบัตรเครดิต ทั้งนี้ ความสำเร็จของธนาคารจากการใช้ประโยชน์จากการผสานพลังภายในกลุ่มธุรกิจยังเป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารมีการรายงานผลกำไรที่น่าพอใจมาตั้งแต่ปี 2546 จากการมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลงและมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ต้นทุนทางการเงินของธนาคารลดลงอย่างมากหลังจากที่ธนาคารได้ปรับปรุงแหล่งเงินทุนโดยการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีต้นทุนสูง ซึ่งรวมถึงหุ้นบุริมสิทธิควบหุ้นกู้ด้อยสิทธิมูลค่า 26,000 ล้านบาทโดยทำการเพิ่มทุนและออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาทดแทน ซึ่งช่วยให้ธนาคารมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารยังคงถูกกดดันจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ลีสซิ่ง และหลักทรัพย์ รวมทั้งจากความจำเป็นในการตั้งสำรองเพิ่มเนื่องจากธนาคารยังมีระดับเงินกองทุนและสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
สำหรับกรณีที่ GE Capital Asia Pacific Ltd. มีแผนจะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนชุดใหม่ของธนาคารนั้น ทริสเรทติ้งจะทำการทบทวนอันดับเครดิตของธนาคารอย่างละเอียดหลังจากกระบวนการเพิ่มทุนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ อันดับเครดิตของธนาคารอาจปรับเพิ่มขึ้นหากธนาคารสามารถใช้ประโยชน์จากการผสานจุดแข็งของทั้งธนาคารและ GE Capital Asia Pacific Ltd. ได้เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าสิทธิทางการค้าและสถานะทางการแข่งขันให้แก่ธนาคาร และ/หรือหากโครงสร้างเงินทุนของธนาคารปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเพิ่มทุนครั้งใหม่